ลูกค้าปี 2025 คาดหวังอะไร? คำตอบคือ “ความสะดวก” และ “ไม่ต้องพกเงินสด”

          พฤติกรรมของผู้บริโภคในปี 2025 เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนอย่างไม่เคยมีมาก่อน จากการศึกษาของ McKinsey & Company และ Statista ระบุว่ามากกว่า 78% ของผู้บริโภคทั่วโลกให้ความสำคัญกับ “ประสบการณ์ที่สะดวกและรวดเร็ว” ในทุกกระบวนการของการซื้อขาย ไม่ใช่เพียงแค่การเลือกสินค้า แต่รวมไปถึงการชำระเงินที่ต้อง “คล่องตัว ไร้รอยต่อ และทันสมัย” ด้วย โดยเฉพาะในกลุ่มคนเมืองที่คุ้นชินกับไลฟ์สไตล์เร่งรีบ การต่อคิว การพกเงินสด หรือแม้แต่การทอนเงินกลายเป็น Pain Point ที่หลีกเลี่ยงได้ด้วยระบบ Cashless

          งานวิจัยยังชี้ว่า การชำระเงินที่ไม่สะดวกสามารถส่งผลต่อ “อารมณ์ของลูกค้า” และ “ความพึงพอใจต่อแบรนด์” อย่างมีนัยสำคัญ ถึงขั้นที่ลูกค้าบางคนอาจตัดสินใจ “เลิกซื้อ” หรือ “เลิกกลับมาใช้บริการ” หากรู้สึกว่าร้านค้านั้นไม่ตอบโจทย์เรื่องความสะดวกขั้นพื้นฐานเช่นการจ่ายเงิน ยิ่งไปกว่านั้น คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ Millennials ไม่ได้มอง Cashless เป็นทางเลือก แต่เป็น “ความคาดหวัง” หากร้านค้าไม่มีระบบจ่ายเงินแบบ QR, Mobile Wallet หรือไม่สามารถใช้แอปธนาคารได้ พวกเขามักรู้สึกว่า “ร้านนั้นล้าหลัง” หรือ “ไม่น่าเชื่อถือ” การรอคิวหน้าคิดเงิน การทอนเงินผิด หรือแม้แต่การพกแบงก์เหรียญกลายเป็น Pain Point ที่คนยุคใหม่หลีกเลี่ยงอย่างสิ้นเชิง แอปพลิเคชันธนาคาร, วอลเล็ตดิจิทัล, และ QR Code กลายเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคมองว่า “ควรมีเป็นพื้นฐาน”

“ในยุคนี้ ลูกค้าไม่ได้เลือกแค่ร้านที่ถูกหรือใกล้ แต่เลือก ‘ร้านที่จ่ายง่าย’ ด้วย” 

พฤติกรรมไร้เงินสด (Cashless) ไม่ใช่เทรนด์ แต่กลายเป็นมาตรฐานของสังคมไทย

          หลายคนอาจยังคิดว่า “การจ่ายเงินผ่านแอป” หรือ “Mobile Banking” เป็นแค่กระแสชั่วคราว แต่งานวิจัยจาก Visa Global Back to Business Study 2024 ยืนยันว่าการใช้เงินสดทั่วโลกลดลงต่อเนื่องกว่า 38% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ขณะที่การจ่ายผ่าน QR Code และ Digital Wallet เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ผู้บริโภคมีความเชี่ยวชาญในการใช้เทคโนโลยีและยอมรับช่องทางการชำระเงินแบบใหม่ได้รวดเร็ว

          ในประเทศไทยโดยเฉพาะ “PromptPay” กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้ผู้คนทุกเพศทุกวัยสามารถเข้าถึงระบบ Cashless ได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นแม่ค้าขายผลไม้ในตลาดเช้า ไปจนถึงร้านกาแฟบูทีคในใจกลางเมือง ทุกแห่งสามารถตั้ง QR Code ให้ลูกค้าสแกนจ่ายได้ทันที ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลไทยยังมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้เงินสด โดยผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น “ถุงเงิน” และ “คนละครึ่ง” ที่ปลูกฝังพฤติกรรม Cashless ให้กลายเป็นกิจวัตรของประชาชน

          ประเทศไทย มีอัตราการใช้งานแอปธนาคารสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก โดยมีผู้ใช้งาน Mobile Banking มากกว่า 70 ล้านบัญชี และในปี 2025 คาดว่ามูลค่าการทำธุรกรรมผ่านแอปจะทะลุ 15 ล้านล้านบาทต่อปี (อ้างอิง: ธปท.) อีกทั้งกว่า 65% ของการซื้อขายรายวันในกรุงเทพฯ เกิดขึ้นผ่านระบบดิจิทัล และตัวเลขนี้มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อร้านค้าและผู้บริโภคคุ้นชินกับเทคโนโลยีมากขึ้น โดยเฉพาะการจ่ายผ่าน QR Code ที่เป็นรูปแบบการจ่ายยอดนิยมที่สุดในไทย ณ ปัจจุบัน

“การไม่รองรับ e-Payment ในปี 2025 ไม่ใช่แค่ล้าสมัย แต่มันคือการตัดตัวเองออกจากพฤติกรรมผู้ซื้อ” SCB Economic Intelligence Center

โอกาสที่หลุดลอย: ลูกค้าตั้งใจซื้อ แต่ร้านไม่มี QR หรือ E-Payment ให้จ่าย

          ลองจินตนาการถึงลูกค้าที่เดินเข้ามาในร้านของคุณด้วยความตั้งใจแน่วแน่ในการซื้อของ พวกเขาเลือกสินค้าอย่างพิถีพิถัน เดินตรงไปที่แคชเชียร์ด้วยรอยยิ้ม เตรียมจะชำระเงินผ่านแอปที่ใช้เป็นประจำ แต่กลับต้องชะงัก และสีหน้าก็เริ่มเปลี่ยน เมื่อคุณเอ่ยว่า “ร้านเรารับแค่เงินสดนะคะ” เสียงถอนหายใจดังขึ้นเบา ๆ พร้อมกับแววตาที่เต็มไปด้วยความลังเล และสุดท้ายก็วางของลงแล้วเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ เหตุการณ์แบบนี้อาจเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และคุณอาจไม่ทันสังเกตว่านี่คือจุดที่ร้านของคุณ “เสียลูกค้า” ไปทีละคน ๆ

ในหลายกรณี สิ่งที่เกิดขึ้นคือ:

• ลูกค้าไม่มีเงินสดติดตัว
• ลูกค้าไม่มีเวลาหาตู้ ATM
• ลูกค้ารู้สึกไม่สะดวกใจและตัดสินใจ “ไม่ซื้อ”

คุณไม่ได้แค่พลาดยอดขายหนึ่งครั้ง แต่คุณพลาด “ลูกค้าประจำในอนาคต” ไปโดยไม่รู้ตัวโดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ Millennials ที่พกมือถือมากกว่ากระเป๋าสตางค์ การไม่มีทางเลือก Cashless เท่ากับการปฏิเสธพฤติกรรมของลูกค้ายุคใหม่ จากการสำรวจของ Kantar พบว่า มากกว่า 65% ของผู้ซื้อที่มีประสบการณ์การถูกปฏิเสธการจ่ายเงินผ่านมือถือ “จะไม่กลับไปใช้บริการร้านเดิมอีก”

อยากขายดีต้องทันโลก: วิธีปรับตัวของร้านค้าเล็ก-ใหญ่ในยุคที่เงินสดกลายเป็นอุปสรรค

วิธีที่ร้านค้าขนาดเล็ก-กลางสามารถเริ่มต้นสู่ระบบ Cashless:

• เริ่มต้นด้วย QR Code พร้อมเพย์: ใช้บัญชีธนาคารที่รองรับ PromptPay QR เพื่อให้ลูกค้าสแกนจ่ายได้ทันที ไม่ต้องลงทุนสูง
• เชื่อมระบบกับแอปยอดนิยม เช่น Line Pay, TrueMoney, หรือ AirPay เพื่อตอบโจทย์กลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน
• ใช้ระบบ POS ที่รวมฟังก์ชันการชำระเงิน: ไม่ว่าจะเป็น Wongnai POS, Flowaccount, หรือ POS ของ SCB SME ก็สามารถใช้งานได้สะดวก
• แจ้งลูกค้าอย่างชัดเจน ด้วยป้ายหน้าร้าน ป้ายบนเคาน์เตอร์ และข้อความในโซเชียลว่า “ร้านนี้รับจ่ายผ่าน QR / Wallet” เพื่อดึงดูดความมั่นใจ

ธุรกิจใหญ่ที่เปลี่ยนไปแล้ว:

• Starbucks Thailand ที่เปิดให้ใช้ Starbucks Card ผ่านแอปพร้อมสะสมแต้ม
• 7-Eleven Thailand ที่รับทุกประเภท e-Wallet และยังเปิดบริการชำระผ่านแอปธนาคารทุกธนาคาร
• Cafe Amazon ที่พัฒนาแอปของตัวเองให้สามารถจ่ายและสะสมคะแนนได้ทันที

การปรับตัวในยุค Cashless ไม่ได้แค่เพิ่มยอดขาย แต่ยังเพิ่ม “ประสบการณ์ที่ราบรื่น” ให้ลูกค้า ซึ่งเป็นกุญแจในการแข่งขันในยุคดิจิทัล

สรุป         

การไม่รองรับระบบ Cashless ไม่ใช่ปัญหาเล็ก ๆ อีกต่อไป แต่คือปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อรายได้ ความน่าเชื่อถือ และการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว ในปี 2025 เป็นต้นไป ผู้บริโภคจะไม่ถามว่า “มี QR ไหม?” แต่จะตั้งสมมุติฐานเลยว่า “ร้านไหนก็ต้องมี QR อยู่แล้ว” และหากร้านคุณไม่มี ก็อาจไม่มีโอกาสให้ลูกค้าต่อรอ และ Foretoday เข้าใจโลกธุรกิจยุคใหม่ ในฐานะทีมที่เชี่ยวชาญด้านการปรับตัวสู่โลกดิจิทัล Foretoday มีบริการที่ช่วยให้ร้านค้าทุกขนาดเข้าสู่ยุค Cashless อย่างไร้รอยต่อ เช่น Digital Transformation Consulting: ให้คำปรึกษาแบบเจาะลึกในการเปลี่ยนร้านค้าสู่ระบบ Cashless, Social Media Strategy: วางแผนสื่อสารให้ลูกค้ารู้ว่าร้านของคุณ “จ่ายง่าย” จ่ายได้ทุกช่องทาง, Marketing Campaign Design: ออกแบบโปรโมชันที่ดึงดูดผู้ใช้ Mobile Payment เช่น ส่วนลดเมื่อจ่ายผ่านวอลเล็ต, POS Integration Services: ติดตั้งระบบ POS ที่รองรับทุก e-Payment ได้ในที่เดียว อย่าปล่อยให้ร้านของคุณเป็น “ร้านสุดท้ายในยุคเงินสด” มาปรึกษากับ Foretoday วันนี้ เพื่อพร้อมก้าวสู่อนาคตของการค้า

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://foretoday.asia/