Customise Consent Preferences

We use cookies to help you navigate efficiently and perform certain functions. You will find detailed information about all cookies under each consent category below.

The cookies that are categorised as "Necessary" are stored on your browser as they are essential for enabling the basic functionalities of the site. ... 

Always Active

Necessary cookies are required to enable the basic features of this site, such as providing secure log-in or adjusting your consent preferences. These cookies do not store any personally identifiable data.

No cookies to display.

Functional cookies help perform certain functionalities like sharing the content of the website on social media platforms, collecting feedback, and other third-party features.

No cookies to display.

Analytical cookies are used to understand how visitors interact with the website. These cookies help provide information on metrics such as the number of visitors, bounce rate, traffic source, etc.

No cookies to display.

Performance cookies are used to understand and analyse the key performance indexes of the website which helps in delivering a better user experience for the visitors.

No cookies to display.

Advertisement cookies are used to provide visitors with customised advertisements based on the pages you visited previously and to analyse the effectiveness of the ad campaigns.

No cookies to display.

สรุป 8 ประเด็นจากหนังสือ แปดสิ่งที่คนเก่งมากๆ มีร่วมกัน

หนังสือ 8 สิ่งที่คนเก่งมากๆมีร่วมกัน หนังสือ No.1 Best Seller ที่ใช้เวลาเขียนนานถึง 7 ปี รวบรวมบทความที่เป็นบทสรุปของวิธีก้าวหน้าในงาน ทางลัดในการดูแลลูกค้ากับลูกน้อง และการพัฒนาจิตใจให้เติบโตยิ่งขึ้น

1. อยากเก่งต้องฉลาดฟัง

ผมชอบประเด็นนี้เพราะพี่อ๋องเล่าถึงคนรุ่นใหม่บางคนที่คิดว่าตัวเองเก่งมากๆ ก็ไม่แปลกใจที่จะคิดแบบนั้นเพราะเขาคนนั้นเรียนในห้องได้เก่งมาก มากแบบว่าอาจจะทิ้งเพื่อนร่วมชั้นไม่เห็นฝุ่น

ทีนี้เด็กคนนั้นเลยถามพี่อ๋องว่า ถ้าเรารู้ว่าเราเก่งกว่าเราจำเป็นต้องฟังคนอื่นที่ไม่ได้เก่งกว่าเราด้วยหรอ ในเมื่อความคิดเราถูกกว่าอยู่แล้วต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นผู้ใหญ่ก็ตาม

ประเด็นน่าสนใจอยู่ตรงที่ว่าถ้าเราคิดว่าเราเก่งแล้วเราไม่เก็บอะไรมาเพิ่มเลย ความเก่งเราก็จะอยู่แค่นั้น อย่าลืมว่าที่เราเก่งได้อย่างทุกวันนี้เพราะเรารับข้อมูลเข้ามามากๆ ไม่ว่าจะรับผ่านการอ่าน ดู ฟัง หรือลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง

ดังนั้นความเห็นของคนอื่นโดยเฉพาะคนที่มีประสบการณ์มากกว่าก็จะสามารถทำให้เราเก่งขึ้นได้

2. ศิลปะการติติง

เพราะน้อยคนนักจะรู้ว่าควรคอมเมนต์หรือให้ความเห็นคนอื่นอย่างไร แม้เจ้าตัวจะบอกว่าพูดมาได้ตรงๆ แต่ส่วนใหญ่แล้วกลับไม่ค่อยชอบความเห็นตรงๆ เท่าไหร่ โดยเฉพาะคนเป็นหัวหน้าต้องรู้สึกพูดติลูกน้องให้เขาไม่รู้สึกลบกับเรา แต่ต้องให้เขารู้สึกอยากจะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นด้วยตัวเองให้ได้ นั่นก็คือการพยายามบอกให้เขารู้สึกว่าเรา “คาดหวัง” กับเขามากกว่านี้ มากกว่าที่เขาทำออกมาในตอนนี้

และจากการที่เราบอกว่าเราคาดหวังกับเขามากกว่านี้เป็นการบอกให้รู้ว่าเราผิดหวังในตัวเขา แล้วธรรมชาติของคนส่วนใหญ่คือไม่ชอบให้คนอื่นรู้สึกผิดหวังในตัวเรา แสดงว่าเขาคาดหวังว่าเรามีดีกว่าที่เราแสดงออกมา แสดงว่าเรามีศักยภาพมากกว่าที่เราคิดไว้อีกมาก นี่แหละครับถึงจะเป็นศิลปะการติติงที่ทุกคนควรเรียนรู้ที่จะนำไปใช้

ถัดมาคือศิลปะการปฏิเสธ ถ้าสังเกตดีๆ คนเก่งๆ ไม่ได้รับทุกอย่างมาทำเสมอไป แต่เขารู้จักเลือกทำในสิ่งที่ถนัด สิ่งที่เห็นว่าจะผลิดอกออกผลได้ดีในอนาคตก็ด้วยการเลือกทำ และเลือกไม่ทำ

ดังนั้นการปฏิเสธที่ดีคือการรู้จักบอกปัดโดยไม่พูดคำว่า “ไม่”

บอกเลยว่าเรื่องนี้จริงมากๆ ครับ ทุกคนต้องหมั่นฝึกฝนที่จะปฏิเสธให้อีกฝ่ายยอมรับให้ได้นะครับ แม้ช่วงแรกจะยากมาก แต่บอกได้เลยว่าคนเก่งมากๆ เค้าทำเรื่องนี้กันได้ดีจริงๆ

ส่วนเทคนิคส่วนตัวผมหรอ ใช้วิธีทำให้เขาต้องย้อนกลับมาปฏิเสธเรื่องที่เขาต้องการด้วยตัวเขาเองครับ

3. ลูกค้าไม่รู้แต่ไม่เคยผิด

หลายคนชอบหงุดหงิดไม่พอใจเวลาลูกค้าทัก inbox มาถามว่าราคาเท่าไหร่ ซื้อได้ที่ไหน หรือร้านเปิดวันไหนบ้าง หลายคนอาจสวนลูกค้ากลับว่า “ก็มีอยู่ตรงนั้นไม่เห็นหรืออย่างไร?” ใช่ครับ ลูกค้าไม่รู้ หรือแม้แต่ลูกค้าไม่ยอมอ่านดูให้ละเอียด แต่ถ้าถามว่าลูกค้าผิดไหมบอกได้เต็มปากเลยว่า “ไม่” ถ้าเรายังอยากขายลูกค้าคนนี้ได้

เพราะยิ่งเราตอบคำถามลูกค้ามากเท่าไหร่เขาก็จะยิ่งรู้สึกว่าเราดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี จนทำให้ในที่สุดเราก็มีโอกาสปิดการขายได้มากขึ้น นี่แหละครับสิ่งที่คนเก่งๆ เขาทำกันโดยเฉพาะคนที่ขายของออนไลน์ พวกเขามักคิดว่าลูกค้าไม่ผิดที่ไม่รู้ ผิดที่เราต่างหากที่ไม่ยอมทำให้รู้มากขึ้นทั้งที่ทำได้

4. อย่าลืมใส่จุดซื้อเข้าไปด้วย

ผมชอบประเด็นนี้เพราะเป็นสิ่งมี่ผมเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน ในฐานะนักการตลาดเรามักถูกสอนให้ใส่จุดขายเข้าไปในสินค้าหรือบริการของเรา แต่พี่อ๋องล้ำไปอีกขั้นบอกให้เราใส่จุดซื้อเข้าไปด้วย เพราะการที่เราทำให้เขาอยากได้แล้วก็อย่าลืมกระตุ้นให้เขาต้องกดซื้อกับเราไวที่สุด

เหมือนเว็บจองโรงแรมที่ชอบบอกว่ามีคนอีกหลายคนกำลังดูห้องเดียวกับคุณอยู่นะ รีบกดจองก่อนจะเต็มดีไหม

5. สิทธิบัตรไม่ได้มีไว้กันลอก แต่มีไว้ล็อคไม่ให้ขาย

ประเด็นนี้ก็เป็นเรื่องใหม่สำหรับผมเหมือนกัน แต่เดิมผมเคยคิดว่าการจดสิทธิบัตรมีไว้เพื่อกันคนอื่นลอกความคิดไอเดียเรา แต่ที่ไหนได้ครับพี่อ๋องบอกว่าสิทธิบัตรไม่ได้มีไว้กันลอกเป็นหลัก แต่มีไว้ให้เราสามารถยึดของกลางที่ลอกเรามาระหว่างการดำเนินคดีอันยืดเยื้อ แล้วระหว่างนั้นเราก็รีบขายออกไปให้ได้มากที่สุด

เรียกได้ว่าเป็นกลยุทธ์การล็อคกำลังศัตรู ปล่อยให้ศัตรูทำออกมาแล้วเราก็ตัดกำลังไปถึงสองต่อ

6. คนรวยเพราะทำมากกว่าพูด

เราคงเห็นหลายครั้งคนรวยๆ มักถูกแขวะทำนองว่ามีเงินอย่างเดียวซื้อไม่ได้ หรือเพราะรวยมาแต่กำเนิดหรือมีทุนชีวิตมาดึจึงรวยง่าย

แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป แทนที่จะเอาเวลาไปแขวะชีวิตคนรวยเขาสู้เอาเวลานั้นไปทำงานหาเงินให้ตัวเองรวยบ้างจะดีกว่า

ที่ผมชอบประเด็นนี้เพราะพี่อ๋องเปรียบเปรยได้ดี คนที่บอกว่ารวยเพราะเกิดมาในตระกูลดี หรือบ้านที่รวยเป็นทุนเดิม นั่นก็เป็นเพราะชาติก่อนเขาทำบุญมาเยอะจึงได้สบายในชาตินี้

โอเคครับ แสดงว่าเขาทำมาเยอะก่อนจะรวยหรือประสบความสำเร็จให้คนบางคนอิจฉาได้ ดังนั้นแบ่งเวลาที่อิจฉาไปทำมาหากินให้ตัวเองรวยน่าจะดีกับตัวเองที่สุด

7. ขี่ช้างจับตั๊กแตน จ้างร้อยเล่นล้านวันนี้ เพื่อวันหน้าจะได้มีคนจ้างเราสิบล้านแทนครับ

ผมชอบบทนี้ที่พี่อ๋องเล่าว่าครั้งหนึ่งเขาเคยจ้างดีไซเนอร์ทำงานหนึ่งด้วยบัดเจทที่ไม่เยอะ คือมีแค่ 3,000 แต่พอพี่อ๋องดูงานที่ส่งมาพบว่าทำเกินเงินค่าจ้างไปมากจนรู้สึกเกรงใจแล้วก็จ่ายเพิ่มกว่าที่ตกลงกันไว้อีกเกือบเท่าตัว

หลังจากนั้นเวลามีคนถามหาพี่อ๋องให้แนะนำดีไซเนอร์คนออกแบบให้หน่อย พี่อ๋องไม่ลังเลใจที่จะแนะนำคนนี้ให้ พร้อมกับยังคิดราคาแพงๆ ให้ล่วงหน้าเพื่อจะได้ช่วยยกระดับค่าออกแบบของดีไซเนอร์คนนี้ไปในตัว

ดังนั้นใครที่เป็นคนทำงานแล้วมัวแต่คิดว่าจ้างร้อยฉันจะเล่นสิบ จ้างสิบฉันจะเล่นหนึ่งให้ลองคิดใหม่ เพราะทุกผลงานที่ทำออกไปสุดท้ายแล้วมันจะวกกลับมาหาคุณไม่ทางใดทางหนึ่ง

จนทำงานให้คนจ้างรู้สึกว่าเราจ่ายเงินให้เขาน้อยไปหรือเปล่า นั่นแหละครับคือเคล็ดลับของคนเก่งมากๆ ที่มีร่วมกัน จงทำงานเพื่อให้เป็นผลงานของคุณเอง แล้วสุดท้ายผลนั้นจะย้อนกลับมาหาคุณไม่น้อยกว่าที่ทุ่มทุนทำไป ผมกล้าการันตีเรื่องนี้จากประสบการณ์ของผมเองที่ทำงานเป็นบ้าเป็นหลัง ทำทุกวันไม่มีวันหยุด และทำถึงดึกดื่นในทุกคืนก็ว่าได้ครับ

8. มั่วเจ็ดปี ดีเจ็ดหน

ผมชอบบทนี้เพราะพี่อ๋องเล่าถึงเคสพวกนักวิชาการ กูรู หรือที่ปรึกษามักชอบหยิบยก case study ดังๆ จากบริษัทใหญ่ๆ ในต่างประเทศมาพรีเซนต์นำเสนอผู้บริหารและเพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่ออกความเห็นว่าทำไมถึงไม่ทำอย่างนั้นที่เคยอ่านเจอมาจากในตำราหรือ White paper จากบริษัทดังๆ ชั้นนำหละ

ประโยควาทะที่ฟังดูคมคายดุจใบมีดโกนไม่อาจตัดต้นไม้ใหญ่ได้เสมือนขวานที่คมน้อยกว่า ที่ถ้อยคำอาจไม่สวยงาม ฟังดูแล้วไม่มีความเป็นสูตรสำเร็จ มีแต่การลงมือทำเท่านั้นจึงจะตัดอุปสรรคไม้ใหญ่ออกไปจากทางได้

ดังนั้นจงลงมือทำให้มาก เหมือนกับชื่อบทว่าลองผิดลองถูกเจ็ดปี อาจจะเจอที่ดีแค่เจ็ดหน เพียงแต่ว่าแต่ละหนที่พบเจอนั้น Big Impact เป็นส่วนใหญ่ครับ

สรุป หนังสือ 8 สิ่งที่คนเก่งมากๆ มีร่วมกัน

ผมอยากแนะนำให้คนที่อยากเก่งได้อ่านหนังสือเล่มนี้เร็วที่สุด เพราะคุณยิ่งอ่านเร็วเท่าไหร่คุณก็จะยิ่งรู้ว่าอะไรที่ควรทุ่มเวลาทำ และอะไรที่ไม่เคยเสียเวลาให้

ถ้าคุณอยากเป็นคนเก่งมากๆ ลองอ่านแล้วสำรวจตัวเองอยู่ตลอดทุกบทเหมือนผมว่า ตอนนั้นเราทำแบบไหน แล้วตอนนี้เราทำอะไรอยู่นะ

Credit : Nattapon Muangtum