ความแตกต่างในการทำ Content marketing สำหรับ B2B และ B2C ที่ช่วยให้ธุรกิจคุณตอบโจทย์มากขึ้น!

จะเห็นได้ว่าในปัจจุบัน แบรนด์ หรือ ธุรกิจ ต่าง ๆ มีการริเริ่มทำคอนเทนต์กันมากขึ้น เรียกว่าเป็นยุคทองของการทำคอนเทนต์จริง ๆ เพราะมองไปทางไหน เล่นแอพอะไร คอนเทนต์ก็เต็มไปหมด ซึ่งบนโลกออนไลน์ การแข่งขันค่อนข้างสูงเลยทีเดียว เพราะหลาย ๆ แบรนด์ก็อยากจะดึงดูดเพื่อให้คนคลิกเข้ามาดู หรือเข้ามา engage ด้วย แต่สังเกตไหมว่า บางทีคนเรามักชอบทำคอนเทนต์ตาม ๆ กัน โดยไม่ได้นึกเลยว่าคอนเทนต์นั้นเหมาะกับเราจริงหรือเปล่า? 

ในบางครั้งคนที่วางแผนและทำคอนเทนต์อาจจะยังไม่เข้าโมเดลธุรกิจของแบรนด์ทั้งหมดก็เป็นได้ ดังนั้นวันนี้ทาง ForeToday ก็จะมีบทความมาให้ผู้ชมทางบ้านทำความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบโมเดลของธุรกิจ เช่น B2B และ B2C พร้อมแนวทางในการทำ Content Marketing ที่ช่วยตอบโจทย์ให้กับแบรนด์ของคุณได้

B2B/B2C คืออะไร?

B2B หรือ Business-to-Business
คือการทำธุรกิจระหว่างเจ้าของธุรกิจสู่เจ้าของธุรกิจ เพื่อตอบสนองความต้องการและพัฒนาธุรกิจในด้านต่างๆ เช่น การจัดการวัตถุดิบ การจัดการต้นทุนสินค้า การผลิตสินค้า รวมไปถึงการให้บริการ ซึ่งจะทำให้เป็นประโยชน์และทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้ด้วยดียิ่งขึ้น

B2C หรือ Business-to-Customer
คือธุรกิจที่ขายสินค้าหรือให้บริการกับผู้บริโภคโดยตรง โดยธุรกิจประเภทนี้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้าหรือเข้าใช้บริการได้ตามความต้องการของตนเอง เช่น เสื้อผ้า อาหาร และในปัจจุบันธุรกิจประเภทนี้ได้มีการพัฒนามากยิ่งขึ้น มีระบบออนไลน์ทำให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้าได้สะดวกขึ้น เช่น ร้านสะดวกซื้อ 7-11 ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้าตามที่ต้องการผ่าน 7-11 delivery เป็นต้น

ความแตกต่างระหว่าง B2B และ B2C

B2B และ B2C มีความแตกต่างกันดังนี้

  • ในด้านของกลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้า ธุรกิจ B2B จะเป็นทำธุรกิจระหว่างเจ้าของธุรกิจกับเจ้าของธุรกิจ ในขณะที่ B2C จะเป็นการทำธุรกิจระหว่างเจ้าของธุรกิจกับผู้บริโภคโดยตรง
  • ในด้านการตัดสินใจซื้อ ธุรกิจ B2B มีกระบวนการซื้อที่ซับซ้อน ผ่านการตัดสินใจจากหลายฝ่าย ต้องวางแผนอย่างเป็นระบบและต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ขององค์กรด้วย ในขณะที่ B2C จะใช้ระยะเวลาไม่นาน การตัดสินใจซื้อจะขึ้นอยู่กับความต้องการและความพึงพอใจของผู้บริโภคเป็นหลัก 
  • ในด้านของการดึงดูดลูกค้า ธุรกิจ B2B จะใช้ความน่าเชื่อถือของแบรนด์และคุณภาพของสินค้าเป็นหลัก ในขณะที่ B2C จะใช้โฆษณาและโปรโมชั่น เพื่อให้เกิดความดึงดูดและเข้าถึงง่าย ซึ่งจะช่วยให้เป็นการกระตุ้นความสนใจ และทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าได้เร็วยิ่งขึ้น

Content ที่ตอบโจทย์ธุรกิจแบบ B2B

หัวใจหลักสำหรับการทำคอนเทนต์ของธุรกิจ B2B คือการสื่อสารเพื่อโน้มน้าว สร้างคุณค่าแก่ผู้รับและแสดงความน่าเชื่อถือแก่กลุ่มลูกค้าที่เป็นธุรกิจด้วยกัน คอนเทนต์ส่วนมากจึงเป็นการนำเสนอข้อมูล การเผยแพร่ความรู้ หรือการสรุปข้อมูลต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ต่อกลุ่มธุรกิจที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของเรา

ตัวอย่างและแนวทางในการทำ Content สำหรับ B2B

  • Case Studies: การนำเสนอกรณีศึกษาที่มีความใกล้เคียงกับธุรกิจที่เป็นกลุ่มลูกค้า นอกจากช่วยส่งเสริมความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ของคุณแล้ว ก็ยังช่วยนำเสนอความรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในผลิตภัณฑ์หรือแนวคิดที่คล้ายคลึงกับให้แก่ลูกค้าได้อีกด้วย ซึ่งตัวอย่างการนำเสนอกรณีศึกษาที่ดี เช่น Case Study ของ Disney+ ของ Eoin Cox
  • Webinars: Web-based Seminar หรือการสัมมนาผ่านช่องทางออนไลน์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มพูนความรู้หรือทักษะผู้เข้าร่วม โดยในปัจจุบัน มักจะเป็นการนำเสนอผ่านไลฟ์หรือจัดการสัมมนาระหว่างเครือข่ายต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น Live Trend ไม่ตก Train กับ Tomorrow by ForeToday
  • Podcasts: เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสื่อสารและให้ความรู้ โดย Podcast นั้นมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับ Webinars แต่แตกต่างกันที่ Podcasts ไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้พูดและผู้ฟังในทันที ยกตัวอย่าง Podcasts เช่น The Power of Purpose in Business จาก TED
  • Articles: บทความเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายแม้กระทั่งในแบบของ B2C หากแต่บทความที่เป็นคอนเทนต์แก่กลุ่มของ B2B จะให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่มีข้อมูลเชิงลึก ซึ่งสามารถนำไปปรับใช้หรือศึกษาต่อในธุรกิจอื่น ๆ ได้ ตัวอย่างเช่น บทความ Optimize facebook audience ด้วย Tool ใหม่จาก facebook – ForeToday

Content ที่ตอบโจทย์ธุรกิจแบบ B2C

การทำคอนเทนต์บน Social media เป็นกลยุทธ์การตลาดหนึ่งที่เน้นการทำและเผยแพร่เนื้อหาที่มีคุณค่าหรือมีความเกี่ยวข้องกับผู้อ่านผ่านสื่อออนไลน์ เพื่อที่เราสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และมีโอกาสที่เขาจะตัดสินใจซื้อแบรนด์ของเราได้ ดังนั้นแบรนด์ควรเข้าใจก่อนว่า:

  1. กลุ่มลูกค้าของแบรนด์เป็นใคร? 
  2. พวกเขากำลังสนใจในเรื่องอะไร? 
  3. ปัญหาของพวกเขาคืออะไร?
  4. มีอะไรที่แบรนด์สามารถตอบโจทย์ในการแก้ปัญหาได้บ้าง? 
  5. ช่องทางที่กลุ่มเป้าหมายของเรา ค้นหาข่าวสาร/ติดตามข้อมูล คือช่องทางไหนบ้าง?
  6. อะไรบ้างที่มีคุณค่าสำหรับเขา? 

เมื่อแบรนด์สามารถตอบตรงนี้ได้ ก็จะสามารถได้รู้ว่าคนเหล่านี้มีพฤติกรรมเป็นอย่างไร เพื่อที่จะได้รู้วิธีในการเลือกใช้คำในการสื่อสารและการทำคอนเทนต์ให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้ได้อีกด้วย

ตัวอย่างและแนวทางในการทำ Content สำหรับ B2C

  • Infographic/image: เน้นในการให้ความรู้ที่สามารถเชื่อมโยงเกี่ยวกับแบรนด์ได้ แต่ในขณะเดียวกันก็เติมเต็มความสนุก เพื่อให้ตัวคอนเทนต์ออกมาน่าสนใจมากขึ้น เช่น ในกรณี Facebook Page ของ Jones salad เป็นร้านอาหารสุขภาพที่ทำคอนเท้นท์ออกมาในรูปแบบที่เน้นให้ความรู้ แต่ก็ยังมีความสนุกปนอยู่ด้วย โดยคอนเทนต์เหล่านี้โดนใจสำหรับผู้บริโภคเป็นอย่างมาก
  • Video: เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะผ่านหูผ่านตากันมาบ้างแล้ว เพราะคอนเทนต์แบบ video จะนิยมมากในรูปแบบของแคมเปญ หากเนื้อหาของคอนเทนต์วิดีโอนั้นมีความคิดสร้างสรรค์และสามารถสร้างความประทับใจให้กับคนดูได้ ก็มีโอกาสที่ผู้บริโภคจะหันมาสนใจและมีส่วนร่วม (engagement) กับแบรนด์มากขึ้น เช่น โฆษณา แคมเปญของไทยประกันชีวิต ถือว่าประสบความสำเร็จในการสื่อสารผ่านคอนเทนต์ลักษณะนี้เป็นอย่างมาก เพราะเขานำตัวเนื้อหากับแบรนด์ให้มีความเชื่อมโยงกัน ด้วยตัวพล็อตเรื่อง การถ่ายทอด และมู้ดอารมณ์ ซึ่งสร้างความจดจำให้กับผู้ชมมากมายเลยทีเดียว
  • Interactive Content: เป็นการทำคอนเทนต์อย่างนึงเพื่อให้ให้คนเข้ามามีปฏิสัมพันธ์(Interaction) กับแบรนด์ เช่น การทำภาพ GIF เพื่อให้คนเข้ามาเล่นได้ อย่างแบรนด์บาบีก้อนก็เคยออกเกมแบบนี้มาให้ผู้คนเล่นเช่นกัน

สรุป Content ของ B2B และ B2C

โดยภาพรวมแล้ว คอนเทนต์ของ B2B จะเป็นคอนเทนต์ที่นำเสนอความรู้ให้กับกลุ่มลูกค้า เพื่อโน้มน้าว สร้างคุณค่าแก่ผู้รับและแสดงความน่าเชื่อถือแก่กลุ่มลูกค้าที่เป็นธุรกิจด้วยกัน ส่วนคอนเทนต์ของ B2C นั้นเน้นไปทางคอนเทนต์ที่เข้าใจง่ายและดึงดูด ซึ่งทำให้ได้มีส่วนร่วมและสร้างแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าหรือบริการได้มากขึ้น


ติดต่อพวกเรา FORETODAY

Website: https://foretoday.asia/contact/

Line@: bit.ly/ForeToday

FB Chat: http://m.me/foretoday

“A Better Tomorrow Starts Today”