Customise Consent Preferences

We use cookies to help you navigate efficiently and perform certain functions. You will find detailed information about all cookies under each consent category below.

The cookies that are categorised as "Necessary" are stored on your browser as they are essential for enabling the basic functionalities of the site. ... 

Always Active

Necessary cookies are required to enable the basic features of this site, such as providing secure log-in or adjusting your consent preferences. These cookies do not store any personally identifiable data.

No cookies to display.

Functional cookies help perform certain functionalities like sharing the content of the website on social media platforms, collecting feedback, and other third-party features.

No cookies to display.

Analytical cookies are used to understand how visitors interact with the website. These cookies help provide information on metrics such as the number of visitors, bounce rate, traffic source, etc.

No cookies to display.

Performance cookies are used to understand and analyse the key performance indexes of the website which helps in delivering a better user experience for the visitors.

No cookies to display.

Advertisement cookies are used to provide visitors with customised advertisements based on the pages you visited previously and to analyse the effectiveness of the ad campaigns.

No cookies to display.

เพิ่มยอดขายสินค้าและฐานลูกค้าด้วยกลยุทธ์ปากต่อปาก (Word of Mouth) สร้างด้วย Momentum Marketing

สวัสดีครับทุกคน ทุกวันนี้เรามักจะเห็นสิ่งที่เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ สินค้าใหม่ๆที่เป็นกระแสอย่างรวดเร็ว เพื่อนๆเคยสงสัยมั้ยว่าการตลาดแบบนี้เรียกว่าอะไร วันนี้เราจะพามารู้จักMomentum markettingกันครับ

เนื่องจากทุกวันนี้Social mediaมีอิทธิพลอย่างมากต่อพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งผู้บริโภคก็มีความหลากหลาย ทำให้เกิดการสร้างความต้องการยากขึ้น เมื่อเกิดทิศทางของความต้องการยากขึ้นก็ทำให้ยอดขายเกิดได้ยากขึ้น แบรนด์จึงมีช่องทางในการสร้างกระแสผ่านDifusion of Innovation Model หรือ ทฤษฎีการเปิดรับนวัตกรรมใหม่ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับการสร้างกระเเสบนโลกSocial media

 โดยทฤษฎีการเปิดรับนวัตกรรม เเบ่งคนออกเป็น 5 กลุ่ม ดังนี้

1. Innovative = กลุ่มคนมีความรู้ ชอบทดลองสิ่งของเเละไอเดียใหม่ๆ

2. Early Adopters = ผู้นำทางความคิด ที่กล้าทดลองสิ่งใหม่

3. Early Majority = ตัดสินใจอย่างรอบคอบไม่รีบร้อน

4. Late Majority = ยอมรับสินค้าก็ต่อเมื่อคนส่วนใหญ่ให้การยอมรับเเล้ว

5. Laggards = ตัดสินใจเมื่อมีข้อพิสูจน์ว่าสิ่งนั้นดีจริง ไม่ตามกระเเส

โดยกลยุทธ์ Momentum Marketing ประกอบด้วย 

1.Movement สินค้าต้องมีการเคลื่อนไหว ต้องใหม่อยู่เสมอ 

2.Opinion Leader  คนที่นำความคิดคนอื่นและให้เป็นผู้ทดลองใช้สินค้า

3.Major Change สินค้าต้องพัฒนาและเกิดการเปลี่ยนแปลงมากพอที่จะจูงใจคนให้แชร์ความคิดเห็น

4.Engagement  สร้างความผูกผันกับผู้บริโภค เพื่อให้คนที่ยึดมั่นในแบรนด์อยู่รวมกัน

5.Need Fulfillment  สินค้าต้องเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภค

6.Trend  ทันกระแส จับกระแสให้ทันว่าอะไรจะมา 

7.Uniqueness ความเป็น Limited ของสินค้า

8.Monitor  ติดตามข้อมูลทั้งหมดอย่างรอบด้าน

โดยในการประยุกต์ใช้ก็แบรนด์ก็จะมีการเจาะจงไปที่กลุ่มต่างๆกันด้วยวิธีที่ต่างกันเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เหมาะสมในการสร้างกระแสเพิ่มยอดขาย

ยกตัวอย่างแบรนด์ที่ที่ประสบความสำเร็จจากการใช้กลยุทธ์ Momentum Marketing อย่างแบรนด์ Glossier

Glossier เป็นแบรนด์ที่คนรักสวยรักงามต้องรู้จักอย่างแน่นอน เพราะแบรนด์ผลิตเครื่องสำอางและผลิคภัณฑ์ดูแลผิวหลากหลายชนิด ซึ่งใช้ส่วนผสมแบบออร์แกนิกและไม่มีการทดลองกับสัตว์ (Cruelty-Free) แต่ความไม่ธรรมดาคือตัว Glossier สามารถทำยอดขายไปได้มากถึง 1.8 ล้านดอลลาร์แม้จะเน้นไปที่การขายช่องทางออนไลน์เป็นหลัก

โดยจุดเริ่มต้นของแบรนด์ Glossier มาจากนักธุรกิจหญิงชาวอเมริกันอย่าง Emily Weiss ซึ่งเดิมทีแล้วเป็นคนที่ชื่นชอบรีวิวและชอบแบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับความสวยงาม เช่น รีวิวเครื่องสำอาง หรือทริคการดูแลตนเองตามฉบับของตนเองผ่าน Blog ที่ชื่อว่า “Into The Gloss” ด้วยการทำคอนเทนต์เกี่ยวกับความงามที่สาว ๆ ชอบเรียนรู้อยู่แล้ว ทำให้ Blog มีคนสนใจติดตามเป็นจำนวนมาก ทำให้ Emily Weiss มองเห็นโอกาส พัฒนาความชอบไปเป็นการทำธุรกิจและได้ริ่เริ่มก่อตั้งแบรนด์ Glossier 

Glossier กำหนดการสื่อสารของตนเองผ่านการทำการตลาดบนสื่อโซเซียลมีเดียเป็นหลัก โดยเฉพาะ Instagram และบนเว็บไซต์ สิ่งทำให้แบรนด์เน้นทำการตลาดในโซเซียลมีเดียคือ การดึงจุดแข็งขอโซเซียลมีเดียมาใช้ ประกอบกับการรีวิวแบบปากต่อปากจากผู้หญิงถึงผู้หญิง ทำให้สามารถเข้าถึงได้ในทั่วทุกมุมโลก นอกจากนั้นแบรนด์ได้นำกลยุทธ์ Momentum Marketing มาปรับใช้โดยแบ่งเป็น Phase ดังนี้

Initial Phase
Content Creation: Emily Weiss เริ่มจากการสร้าง Blog ผลิตเนื้อหาให้ความรู้เกี่ยวกับความสวยงามอย่าง “Into The Gloss” จนมีผู้ติดตามที่รวมตัวกันกลายเป็นกลุ่มชุมชน (Community) และพยายามหา Insights จากกลุ่มชุมชนนั้น

Product Launch: เปิดตัวสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้หญิงจากการศึกษาถึง Insights และ Pain-Points พร้อมกับรับ Feedback ต่าง ๆ 

Growth Phase

UGC and Social Proof: ส่งเสริมให้เกิดการแบ่งปันบอกต่อถึงประสบกาณ์การใช้งานสินค้าจากผู้ใช้จริง เพื่อให้เกิดการรับรู้และพูดถึงแบบปากต่อปากภายในสื่อโซเซียลมีเดีย

Pop-up Shops: สร้างหน้าร้านเพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมระหว่างแบรนด์และผู้บริโภค และช่วยจุดกระแสอื่น ๆ ของแบรนด์เพิ่มเติม

Sustained Momentum Phase

Data-Driven Decisions: เก็บรวมรวมข้อมูล นำมาประกอบการตัดสินใจเพื่เป็นแนวทางในการพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ จะทำให้พัฒนาสินค้าที่ตอบสนองผู้บริโภคได้ตรงจุดมากขึ้น

Continuous Engagement: หมั่นค่อยรักษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และผู้บริโภค ผ่านการทำคอนเทนต์บนโซเซียลมีเดียต่าง ๆ เพื่อให้ผู้บริโภคไม่ลืมและจดจำแบรนด์ให้เป็น Top-of-Mind อยู่เสมอ

Innovation and Adaptation Phase

New Campaigns: ทำแคมเปญการตลาดแบบใหม่ ๆ อยู่เสมอเพื่อให้แบรนด์ดู Fresh และนำเทรนด์ในเรื่องความสวยงาม และการดูแลตนเองในแบบฉบับคนรักสวยรักงาม

Customer Feedback: แบรนด์ต้องปรับตัวตามกระแส Feedback ของผู้บริโภคอยู่เสมอ 

จากการนำกลยุทธ์ Momentum Marketing มาปรับใช้ ทำให้แบรนด์ Glossier ประสบความสำเร็จในด้านของการรักษาและขยายการเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดเครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์ดูแลผิว และสามารถสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภคทำให้เกิดความเหนี่ยวแน่วของฐานลูกค้า เป็นผลให้แบรนด์โตขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย

สรุป 

โซเชียลมีเดียมีอิทธิพลอย่างมากในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค กลายเป็นยุคที่ผู้บริโภคชอบแชร์สิ่งต่างๆ คือไม่ยอมตกกระแสใดๆ กลายเป็นการตลาดแบบใหม่ที่เรียกว่า Momentum Marketing