Customise Consent Preferences

We use cookies to help you navigate efficiently and perform certain functions. You will find detailed information about all cookies under each consent category below.

The cookies that are categorised as "Necessary" are stored on your browser as they are essential for enabling the basic functionalities of the site. ... 

Always Active

Necessary cookies are required to enable the basic features of this site, such as providing secure log-in or adjusting your consent preferences. These cookies do not store any personally identifiable data.

No cookies to display.

Functional cookies help perform certain functionalities like sharing the content of the website on social media platforms, collecting feedback, and other third-party features.

No cookies to display.

Analytical cookies are used to understand how visitors interact with the website. These cookies help provide information on metrics such as the number of visitors, bounce rate, traffic source, etc.

No cookies to display.

Performance cookies are used to understand and analyse the key performance indexes of the website which helps in delivering a better user experience for the visitors.

No cookies to display.

Advertisement cookies are used to provide visitors with customised advertisements based on the pages you visited previously and to analyse the effectiveness of the ad campaigns.

No cookies to display.

ศึกดวลพิซซ่าหน้าขิง

ศึกดวลโปรโมชั่นพิซซ่า 1112 vs 1150 ที่ลุ้นกันหมัดต่อหมัด!

โปรพิซซ่ามาแรงหรือจะสู้พิซซ่าหน้าขิง! จะเป็นยังไงถ้าพิซซ่าทั้งสองแบรนด์ 1112 vs 1150 แข่งกันจัดโปรพิซซ่าสุดล้ำ การตลาดสุดปัง งานนี้เผ็ดร้อนยิ่งกว่าต่อยมวยซะอีก!

เกริ่นก่อนว่ากระแสเริ่มต้นมาจากไหน

ศึกดวลพิซซ่าในไทยอย่าง The Pizza Company และ Pizza Hut พิซซ่าเพื่อนรักเจ้าดังที่กำลังเป็นกระแสในปัจจุบัน อย่างกระแส ‘เธอให้ 99 ฉันให้ 98!’ ที่ทำเอาผู้บริโภคอย่างเรา ๆ คุ้มกันเป็นแถบ ซึ่งจริง ๆ แล้วพิซซ่าทั้ง 2 แบรนด์นี้ เคยมีเจ้าของคนเดียวกัน สืบเนื่องมาจาก Pizza Hut ที่เป็นพิซซ่าแบรนด์สัญชาติอเมริกันในปี 2501 โดย William Heinecke นักธุรกิจชาวอเมริกัน ที่ย้ายมาประเทศไทย และได้นำ Pizza Hut เข้ามาเปิดในประเทศไทย ในปี 2523 จนขายดีเป็นอย่างมาก มีการขยายสาขาไปทั่วประเทศ แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปบริษัทแม่อย่าง Tricon ได้คิดอยากต่อยอดธุรกิจเอง จึงไม่ได้ต่อสัญญากับ William Heineck ถึงขั้นมีการฟ้องร้องกันยกใหญ่ จนท้ายที่สุดศาลเลยให้สิทธิ์แก่บริษัทแม่ ในการใช้ชื่อ Pizza Hut ไป ขณะที่ William Heineck ได้เพียงหน้าร้าน อุปกรณ์ และพนักงาน รวมถึงประสบการณ์ที่เขาทำมาร่วม 20 ปี จึงได้ตัดสินใจสร้างแบรนด์ขึ้นมาใหม่และตั้งชื่อว่า The Pizza Company ซึ่งได้ถูกโปรโมตหลากหลายช่องทาง จนคนไทยเริ่มยอมรับในแบรนด์ ส่งผลให้ The Pizza Company มียอดขายที่ดีแบบระเบิดระเบ้อ สามารถขยับขยายสาขาได้เพิ่มกว่า 560 สาขาในประเทศไทย โดยเป็นร้านพิซซ่าที่กินส่วนแบ่งไปถึง 70% ของตลาดไทย และมีขยับขยายสาขาไปยังต่างประเทศอีกด้วย ส่วน Pizza Hut นั้นก็ถือเป็นร้านพิซซ่าที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง แม้ในประเทศไทยจะเหลือเพียง 190 สาขา แต่ถ้านับรวมจากสาขาทั่วโลก Pizza Hut ก็มีจำนวนสาขามากถึง 19,000 สาขาทั่วโลก ครองแชมป์โลกไปควบคู่กับ Domino’s Pizza  ที่เป็นที่นิยมจากทั่วโลก นั่นเอง 

การต่อสู้ระหว่างพิซซ่าสีเขียวและสีแดง 

เริ่มต้นจากพิซซ่าฝั่งสีเขียวอย่าง The Pizza Company 1112 ที่ได้ประกาศจัดดีลโปรโมชั่นลดราคาสุดพิเศษในวันที่ 21 พค 67 วันเดียว โปรโมชั่นพิซซ่าถาดกลางปกติ 299 บาท ลดราคาเหลือเพียง 99 บาทเท่านั้น!  (เฉพาะทานที่ร้านและซื้อกลับบ้าน) ทำให้ผู้คนต่างให้ความสนใจกันเป็นจำนวนมาก จากนั้นทางฝั่งพิซซ่าสีแดงอย่าง Pizza Hut 1150 ก็ได้ประกาศโปรโมชั่น สั่งพิซซ่าล่วงหน้าได้ในราคาสุดพิเศษเพียง 98 บาท ในวันที่ 22 พค 67 (เวลา 13:00-18:00 น.) เท่านั้น จึงเป็นการเปิดศึกระหว่าง The Pizza Company vs Pizza Hut ที่ดุเดือดเหมือนเวทีมวยอย่างเป็นทางการ

เมื่อทั้งสองแบรนด์ต่างแข่งขันกันจัดโปรโมชั่น ก็ได้เริ่มมีการ “ขิง” กันมากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการตลาดทาฃโซเชียลมีเดีย เพื่อให้ผู้คนให้ความสนใจมากขึ้น “ถึงโปรจะลอกได้…แต่ความอร่อยลอกไม่ได้จริงๆ” จากฝั่งพิซซ่าสีเขียว และ “99 ของทางนั้น จะสู้เซอร์ไพรส์ที่ฮัทมีได้อ่อออ อุ๊บบส์ พูดได้มั้ยอ่าาาาาาาา” จากฝั่งพิซซ่าสีแดง ถือเป็นการแข่งขันที่ดุเดือดและได้รับความสนในบนโลกออนไลน์อย่างมาก และนอกจากนี้การจัดโปรโมชั่นของพิซซ่าทั้งสองแบรนด์ยังได้ส่งผลไปยังพิซซ่าแบรนด์อื่น ๆ อีกด้วย เช่น Domino‘s Pizza ที่ได้ออกมาประกาศว่าเราคำนึงถึงหลักความเป็นจริงทุกครั้งที่จัดโปรโมชั่นในที่ราคาสมเหตุสมผล จัดเต็มทั้งคุณภาพ บริการ และการจัดส่ง พร้อม #โดมิโน่ขายพิซซ่าไม่ขายขิง เป็นต้น

วิเคราะห์การตลาดของพิซซ่าทั้งสองแบรนด์

เรียกได้ว่าเป็นการเปิดศึกแลกหมัดครั้งใหญ่ที่เป็นการจัดโปรโมชั่นทางการตลาดขึ้น โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าทั้ง 2 แบรนด์นี้ได้กำไรหรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ คือได้กลายมาเป็น Viral การตลาดที่ได้รับการพูดถึงเป็นอย่างมาก จนออเดอร์เข้ามาอย่างล้มหลาม แม้กระทั่งแบรนด์อื่น ๆ อย่างร้านอาหาร หรือ โรงภาพยนตร์ ก็ยังต้องขอมีส่วนร่วมในกระแสครั้งนี้ด้วยเช่นกัน ถ้าดูให้ลึกกว่านี้ก็คือต้องให้ Credit กับทีมการตลาดของ The Pizza Company ที่ได้ออกไอเดียขึ้นมาครั้งแรก แต่ด้วยความแซ่บซี้ดของ Pizza Hut ก็อยู่นิ่งไม่ได้ จึงออกโปรพิซซ่าโดยตัดที่ราคา 1 บาท จนทำกระแสถูกยกขึ้นไปอีกระดับ และทำให้ผู้บริโภคแบบเราเหมือนดูมวยกันอยู่ข้างสนาม พร้อมกับทานพิซซ่าราคาถูกไปด้วย 

อย่างไรก็ตาม Viral ในครั้งนี้ก็มีการพูดถึงในแง่ลบด้วยเช่นกัน เพราะผลกระทบนั้นไปตกอยู่ที่บริโภคที่ต้องรอคิวนาน และที่สำคัญที่สุดก็คือตัวพนักงานเองที่บอกได้เลยว่าเหนื่อยมาก ๆ แน่นอนว่าได้กลายมาสิ่งหนึ่งที่แบรนด์ต่าง ๆ ต้องระวัง ในโอกาสนี้น้องเล็กสุดอย่าง Domino’s Pizza เองก็ได้เข้ามาร่วมแจม พร้อมแย่งพื้นที่ตรงนี้ด้วยการบอกว่า  “เราขายพิซซ่า ไม่ขายขิง” เน้นการให้บริการได้จริง บทราคาที่สมเหตุสมผล จึงเป็นผู้ชนะในสมรภมูินี้ไปในสายตาของใครหลาย ๆ คน

สรุปกระแสการตลาดของพิซซ่าทั้งสองแบรนด์ 

“เธอให้ 99 ฉันให้ 98!” เป็นการเล่าถึงการออกโปรโมชั่นแข่งขันกันระหว่างสองแบรนด์พิซซ่าชื่อดังคือ The Pizza Company และ Pizza Hut โดยทั้งสองแบรนด์ต่างพยายามดึงดูดลูกค้าด้วยการลดราคาหรือเพิ่มความคุ้มค่าในโปรโมชั่น ของตน ซึ่งช่วยสร้างกระแสและได้รับความสนใจจากผู้บริโภคมากขึ้น

1. การแข่งขังทางการตลาด The Pizza Company และ Pizza Hut ต่างก็เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในวงการพิซซ่า โดยทั้งสองแบรนด์ต่างพยายามแข่งขันกันออกโปรโมชั่นใหม่ ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้า

    2. ผลกระทบต่อผู้บริโภค การแข่งขันครั้งนี้ได้ส่งผลให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากราคาพิซซ่าที่ถูกลง และมีตัวเลือกโปรโมชั่นพิซซ่าที่หลากหลาย ผู้บริโภคจึงสามารถเลือกซื้อพิซซ่าคุณภาพในราคาที่คุ้มค่ามากขึ้น แต่ก็ส่งผลกระทบในด้านลบที่ลูกค้าต้องรอคิวนาน

    สรุปได้ว่าการออกโปรโมชั่นและการแข่งขันระหว่าง The Pizza Company และ Pizza Hut นั้นได้ส่งผลให้ตลาดพิซซ่าได้รับความสนใจและเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคมากขึ้น ทั้งในด้านราคาที่ถูกลงและการได้รับประสบการณ์ใหม่ ๆ จากโปรโมชั่นที่หลากหลายขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ยังต้องพบกับผลกระทบต่าง ๆ ที่ตามมาอย่างการรอคิวนานเพื่อแย่งกันซื้อพิซซ่านั่นเอง ในส่วนนี้ทุกแบรนด์จึงควรให้ความระมัดระวังในการทำการตลาดเป็นอย่างมาก เพื่อมอบความสุขให้กับลูกค้าอย่างแท้จริง

    #Marketing #Pizza #พิซซ่า #การตลาด #ForeToday