หากจะพูดถึงธุรกิจประเภท E-commerce คือการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เเละ E-commerceย่อมาจาก Electronic Commerce คือการทำธุรกิจโดยซื้อขายสินค้า หรือโฆษณาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ในอดีตเคยนิยมใช้ช่องทางผ่านสื่อต่างๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ เเละสื่อกลางในการใช้งานที่มากที่สุดในปัจจุบัน คืออินเตอร์เน็ตนั่นเอง โดยสามารถใช้ทั้งข้อความเสียง ภาพ เเละคลิปวีดีโอในการประกอบธุรกิจได้
( อ่านเเบบเจาะลึกที่ Blog : https://foretoday.asia/en/articles/what-is-e-commerce )
วันนี้จะมายกตัวอย่างกลยุทธ์ทางการตลาดออนไลน์ที่ทำเเล้วได้ผลเเละสามารถช่วยเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจ E-commerce ได้ มีดังนี้
- SEO ( Search Engine Optimization ) กลยุทธ์รูปเเบบนี้ใช้ประโยชน์จากระบบ Search Engine ของ Google เนื่องจากในปัจจุบันคนนิยมคำพูดที่ว่า ” นึกไม่ออกให้บอกอากู๋ ” จึงนิยมหาข้อมูลผ่าน Search กันจำนวนมาก การทำ SEO คือการทำให้เว็ปไซต์ของเราติดอันดับเเรกๆในหน้าเเรกบน Search Engine เพื่อให้มีคนสนใจคลิ๊กเข้ามาดูข้อมูลของเราภายในเว็ปไซต์ เเละช่วยให้สินค้าเเละบริการของเราเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ดีขึ้น
- Google Ads
คือบริการโฆษณาออนไลน์ของ Google ที่เก็บค่าโฆษณาตามจำนวนครั้งที่ปรากฏหรือจำนวนครั้งที่ผู้ใช้งานทำการคลิ๊กเข้ามา ช่วยทำให้ยอดผู้เข้าชมเว็ปไซต์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดย ช่องทางหลักๆ คือSearch network ที่เเสดงโฆษณาเเบบข้อความบนหน้าผลการค้นหาของ Google ในบางครั้งการลงโฆษณารูปเเบบนี้ จะรู้จักกันในชื่อ SEM ( Search Engine Marketing ) หรือ Pay Per Click วิธีการนี้ต่างจาก SEO ตรงที่เราสามารถเเสดงเว็ปไซต์ได้บนหน้าเเรกของผลการค้าหาบน Google ได้ทันทีโดยการประมูล Keyword ที่ต้องการ เเต่ในการทำ SEO จะต้องมีการปรับปรุงเว็ปไซต์ให้มีคุณภาพเเละใช้ระยะเวลากว่าเว็ปไซต์เราจะติดบนหน้าค้นหาของ Google
Display Network ที่จะเเสดงโฆษณาบนเว็ปไซต์อื่นๆ โดยมีทั้งข้อความ รูปภาพ เเละวีดีโอ วิธีการนี้เหมาะกับการโปรโมทเว็ปไซต์หรือสินค้าให้เป็นที่รู้จัก โดยเราสามารถเลือกได้ว่า จะให้โฆษณาของเราไปปรากฏที่ไหนบ้าง กลุ่มเป้ามหายคือใครเเละ สามารถลงโฆษณาในเว็ปไซต์สื่อดังๆ ได้
- SMM ( Social Media Marketing ) เป็นการใช้สื่อ Social Media ที่มีคนนิยมเล่นสูงในปัจจุบัน เป็นสื่อกลางระหว่างเว็ปไซต์หลักของธุรกิจเเละผู้ใช้งาน ทำให้ผู้ขายสินค้าสามารถโต้ตอบกับลูกค้าได้ทันที ซึ่ง Social Media เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงช่องทางติดต่อซื้อขายเท่านั้น เเต่ยังสามารถเป็นช่องทางสำหรับโปรโมทสินค้าได้ ซึ่งมีส่วนช่วยให้ติดอันดับบนSEO ให้ดีขึ้นอีกด้วย
- Content Marketing เป็นการสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าเเละประโยชน์ โดยอาศัยช่องทางSocial Media ต่างๆ เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายให้กลายมาเป็นลูกค้าของเรา โดย Content นั้นมีอยู่หลายรูปเเบบ ไม่ว่าจะเป็นเเบบบทความ อินโฟกราฟฟิก คลิปวีดีโอ รวมไปถึงรายการวิทยุหรือ podcast ซึ่ง Content ต่างๆที่เหล่าครีเอเตอร์นำมาเสนอ ต้องน่าดึงดูดเเก่การเข้ามารับชมรับฟัง
- Influencer Marketing เป็นการตลาดที่ต้องอาศัย Influencer หรือผู้ที่มีอิทธิพลต่อโลกออนไลน์ เช่น เหล่ายูทูบเบอร์ บล๊อกเกอร์ เเคสเกมเมอร์ เป็นต้น เพื่อช่วยในการโปรโมทสินค้าเเละบริการของเราซึ่ง ผู้ติดตามของเหล่า Influencer จะได้รับอิทธิพลว่า ขนาดคนที่ตนชื่นชอบยังใช้เลย เเสดงว่าสินค้าเหล่านั้นต้องมีความน่าเชื่อถือเเน่นอน
- Affiliate Marketing การตลาดรูปเเบบนี้มีความคล้ายกับ InFluencer คือการใช้ตัวกลางบนโลกออนไลน์ช่วยโปรโมทหรือรีวิวสินค้า เเต่การตลาดเเนวนี้มีหลักการสำคัญอยู่ คือการให้ค่าตอบเเทนเป็นระบบค่าคอมมิชชั่นจากการช่วยขาย การทำ Affiliate Marketing อาจไม่ต้องใช้คนมีชื่อเสียงเเบบ Influencer ก็ได้ เพียงเเค่เป็น Pubilsher หรือเจ้าของสื่อที่มีเว็ปไซต์ผู้เข้าชมอย่างสม่ำเสมอหรือช่องทางบน Social Media ซึ่งมีผู้ติดตามประมาณหนึ่ง
จะเห็นได้ว่าการทำธุรกิจ E-Commerce นั้นมีประโยชน์ในหลายๆ ด้าน โดยสิ่งสำคัญจะอยู่ที่เว็บไซต์ ที่สามารถอำนวยความสะดวกแก่เจ้าของและลูกค้าได้ หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมสามารถใช้โซเชียลมีเดียที่เปิดให้ใช้งานได้ฟรีอย่าง Facebook หรือ Instagram ขายสินค้าแทนเว็บไซต์ได้ บางธุรกิจหรือผู้ที่ยังไม่มีทุนทรัพย์ไม่พร้อม สามารถเริ่มต้นจากการใช้โซเชียลมีเดียก็ได้ แต่เนื่องจากการใช้บริการโซเชียลมีเดีย ก็มีข้อจำกัดในหลายๆ ด้าน การมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการจัดเก็บข้อมูลต่างๆที่ Social Media อาจจะตอบโจทย์ เเละให้ข้อมูลต่อลูกค้าได้ไม่ดีเท่าเว็ปไซต์
“วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า จะได้มาต้องเริ่มที่วันนี้”
“A better tomorrow starts today”