เราจะรู้ได้ยังไงว่า โฆษณาที่เรารันใน facebook ตอนนี้ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว? เคยมั้ยที่เราอยากจะทดสอบโฆษณาของเราว่า เราจะเลือกลงรูปแบบไหนดี? เราจะเลือกแคปชั่นยังไง? กลุ่มเป้าหมาย
ไหนของเราที่สนใจโฆษณามากที่สุด? ซึ่งถ้าจะขึ้นแคมเปญ เซตโฆษณาทุกอย่างให้เหมือนกัน แล้วมานั่งตรวจสอบก็คงวุ่นวายในการอ่านค่า อาจเกิดข้อผิดพลาดตอนสร้างแคมเปญหรือมีโอกาสที่เราจะวิเคราะห์ผลลัพธ์ผิดพลาดได้
Facebook จึงสร้างเครื่องมือแสนสะดวกอย่าง A/B Testing เครื่องมือที่ช่วยทดสอบการเปรียบเทียบของตัวแปร ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ มีเดีย ตำแหน่งของโฆษณา กลุ่มเป้าหมายและแคมเปญที่เราต้องการทดสอบ ทำให้ผู้ทำโฆษณาสามารถรู้ได้ว่าโฆษณาหรือคอนเทนต์ที่ตัวเองสร้างมา มีตัวไหนที่ส่งผลต่อกลุ่มเป้าหมายที่ยิงโฆษณานั้นและให้ผลลัพธ์ได้ดีที่สุด โดยเราสามารถกำหนดสิ่งที่เราต้องการทดสอบ งบประมาณ ระยะเวลา รวมถึงเครื่องมือนี้ยังมีผลลัพธ์ที่ชัดเจนให้กับเราอีกด้วย
ตัวแปรของ A/B Testing มีอะไรให้ทดสอบได้บ้าง
เครื่องมือ A/B Testing นี้ สามารถใช้ทดสอบได้ทั้งหมด 4 หัวข้อ ดังนี้
1. รูปแบบการโฆษณา และแคปชั่น (Media and Caption)
เราสามารถเปรียบเทียบได้ว่าสื่อมีเดียไหนดึงดูดให้คนเกิดการ action กับโฆษณาเรามากที่สุด ทดสอบได้หลากหลายระหว่าง รูปภาพกับรูปภาพ รูปภาพกับวิดีโอ หรือทดสอบประเภทรูปภาพที่ใช้ลงโฆษณา (Single image, Collection, Carousal และอื่นๆ) รวมถึงสามารถทดสอบ Ads text หรือ Caption ที่เราลงโฆษณาได้ด้วย
2. การนำส่งของโฆษณา (Delivery)
เราสามารถเปรียบเทียบการนำส่งของโฆษณาที่เราส่งลูกค้าไปได้ ว่าตัวไหนให้ผลัพธ์ที่ดีกว่ากัน เช่นเปรียบเทียบระหว่าง Traffic การคลิกกับ การนำคนที่คลิกสู่ Landing Page โดยเราสามารถปล่อยให้โฆษณารันไปเรื่อยๆ ด้วยระบบของมันเอง หรือควบคุมต้นทุนเฉลี่ยต่อคลิกได้ด้วย
3. กลุ่มเป้าหมาย (Audience)
เปรียบเทียบตัวแปรของกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็น อายุ เพศ ความสนใจ และกลุ่ม audience ที่เราเคยบันทึกเอาไว้ เพื่อให้โฆษณาหน้าเราจะสามารถรับรู้ถึงกลุ่มเป้าหมายที่เรายิงโฆษณาได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และเป็นการประหยัดงบในการโฆษณาของเราด้วย
4. ตำแหน่งที่ลงโฆษณา (Placement)
นอกจากนี้เรายังสามารถเปรียบเทียบตำแหน่งของโฆษณาที่เราจะลงได้ เช่นเปรียบเทียบระหว่างการลงโฆษณาแบบ Auto placement กับการเลือกตำแหน่งโฆษณา A/B Testing หรือ การเปรียบเทียบระหว่าง Placement ว่าการลงโฆษณาที่ Facebook หรือ IG ตำแหน่งไหนมีประสิทธิภาพมากกว่ากัน
A/B Testing กับงบประมาณที่ใช้ในการทดสอบ
เครื่องมือ A/B Testing จะแบ่งงบประมาณในการโฆษณาของเราแบบอัตโนมัติ โดยเฉลี่ยตามจำนวนแคมเปญที่เราทำการทดสอบ เช่น ทดสอบ 2 แคมเปญ (แบ่งเงินแต่ละแคมเปญที่ 50%), ทดสอบ 3 แคมเปญ (แบ่งเงินแต่ละแคมเปญที่ 33%) เพื่อไม่ให้เกิดการลำเอียงในแต่ละแคมเปญที่เรารันโฆษณานั้นเอง
ระยะเวลาที่ใช้ทดสอบของเครื่องมือ A/B Testing
เราสามารถกำหนดระยะเวลาที่ใช้ทดสอบได้ไม่เกิน 1 เดือนในแต่ละการทดสอบ ซึ่งแนะนำว่าควร ตั้งไว้ประมาณ 5 วัน เพราะหากจำนวนวันน้อยเกินไป ก็จะทำให้โฆษณารันได้ไม่เต็มที่ หรือหากจำนวนวันมากเกินไป ก็อาจจะเสีย budget ไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของโฆษณา และสินค้านั้นด้วย
นอกจากนี้ A/B Testing ยังมีกำหนดด้วยว่า ถ้าแคมเปญไหนมีผลลัพธ์ที่ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด การทดสอบก็จะหยุดรันด้วยตัวเอง และแจ้งผลลัพธ์ของการเปรียบเทียบทันที
วิธีสร้างการแคมเปญผ่านเครื่องมือ A/B Testing
เราสามารถสร้าง A/B Test 2 แบบคือ
1. เลือกทดสอบภายในแคมเปญเดียวกัน (ทดสอบตัวแปรที่แตกต่างกัน)
2. เลือกทดสอบระหว่างแคมเปญ
บทส่งท้าย
สุดท้ายนี้ A/B Test ถือว่าเป็นประโยชน์มากสำหรับการทำตลาดออนไลน์ ถึงแม้จะชื่อเครื่องว่า A/B Testing แต่จริงๆ เราสามารถเปรียบเทียบแคมเปญและตัวแปรได้สูงสุดถึง 5 ตัวด้วยกัน ทั้งช่วยประหยัดเวลา และงบประมาณ รวมถึงทำให้เราสามารถวิเคราะห์ผลลัพธ์ โดยเปรียบเทียบได้จากผลลัพธ์ที่แสดงขึ้นจากพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้า นอกจากนี้ยังสามารถวางแผนคอนเทนต์ต่างๆ เพื่อใช้ในอนาคตได้ด้วย แต่ยังไงก็ระวังเรื่องปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลา วงจรของผลิตภัณฑ์ และตัวแปรอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อการทดสอบด้วย ถึงแม้จะเปรียบเทียบผลลัพธ์ภายในระบบ facebook ได้ แต่อย่าลืมวิเคราะห์ปัจจัยภายนอกและพฤติกรรมของลูกค้าที่กระทบด้วยน้า
ฝากแชร์ต่อหาก Content นี้มีประโยชน์กับคุณด้วย
สำหรับใครที่อยากรู้เรื่องราวน่าสนใจในการทำงานต่าง ๆ หรือหากสนใจจะโฆษณากับทาง ForeToday ถ้าเกิดว่ามีข้อสงสัยอะไร ก็สามารถติดต่อเข้ามาพูดคุยสอบถามกับทาง Foretoday ได้ตามช่องทางเหล่านี้
Line@: bit.ly/ForeToday
FB Chat: http://m.me/foretoday
“A better tomorrow starts today “