AI สมจริงจนหลอกได้ เทคโนโลยีดีหรือดาบสองคม

AI สมจริงจนหลอกได้: เทคโนโลยีดีหรือดาบสองคม?

AI สมจริงแค่ไหนในยุคนี้? ตัวอย่างที่คนแยกไม่ออก

          เทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) ได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเทคโนโลยีด้านการสร้างภาพ เสียง และข้อความที่สามารถเลียนแบบมนุษย์ได้อย่างสมจริงจนน่าตกใจ เช่น Deepfake ที่สามารถเปลี่ยนใบหน้าของบุคคลในวิดีโอให้กลายเป็นอีกคนได้อย่างแนบเนียน หรือ Voice Clone ที่เลียนเสียงพูดของคนดังได้แม่นยำจนไม่มีใครแยกออก ตัวอย่างที่ชัดเจนคือวิดีโอ Deepfake ของอดีตประธานาธิบดี Barack Obama ที่ถูกสร้างขึ้นโดย BuzzFeed เพื่อแสดงให้เห็นว่า AI สามารถใส่คำพูดที่เขาไม่เคยพูดจริงได้ (อ้างอิง: MIT Technology Review)

          ในปี 2023 วงการดนตรียังตกตะลึงกับเพลงใหม่ของ The Weeknd x Drake ที่ถูกสร้างโดย AI ทั้งหมด โดยใช้โมเดลเลียนเสียงและสไตล์การแต่งเพลง ทำให้คนจำนวนมากเข้าใจผิดว่าเป็นเพลงจริงจากศิลปิน (อ้างอิง: BBC เทคโนโลยี AI ไม่ได้เพียงแค่สร้างภาพที่สวยงามหรือข้อความอัจฉริยะ แต่ได้เข้าสู่จุดที่เรียกว่า “หลอกสมองมนุษย์ได้สำเร็จ” ซึ่งนำไปสู่คำถามใหญ่ต่อไปว่า เทคโนโลยีนี้ควรถูกใช้เพื่ออะไร และควรถูกควบคุมแค่ไหน เทคโนโลจี AI ยังถูกนำไปใช้ในงานศิลปะ เช่น Midjourney หรือ DALL·E ที่สามารถสร้างงานภาพในรูปแบบเหมือนถ่ายภาพจริง แต่ภาพเหล่านั้นไม่เคยมีอยู่จริง ส่งผลให้มีกรณีไวรัลหลายครั้ง เช่น ภาพสมมติของอดีตผู้นำประเทศเดินจับมือกัน หรือภาพสงครามปลอมที่กระจายอย่างรวดเร็วบนโซเชียลมีเดีย ในประเทศไทยเองก็มีกรณีไวรัลอย่างการสร้างภาพจำลองเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ตึกร้างเจริญกรุง ซึ่งผู้ชมบางส่วนเข้าใจว่าเป็นภาพจริง ทำให้เกิดการตั้งคำถามถึงศีลธรรมในการใช้ AI และการจัดการกับข้อมูลปลอม

จาก Deepfake ถึง Voice Clone: เทคโนโลยีที่ใช้ทั้งสร้างและลวง

          เทคโนโลยี Deepfake คือการใช้ AI ในการแทนที่ใบหน้า หรือใส่เสียงให้กับวิดีโอหรือเสียงเดิม เพื่อทำให้สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น ดูเหมือนเกิดขึ้นจริง เทคโนโลยีนี้ใช้เทคนิคที่เรียกว่า Generative Adversarial Network (GAN) ซึ่งประกอบด้วยสองระบบ AI ที่แข่งกันเรียนรู้และปรับปรุงจนได้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงความจริงที่สุด

          Voice Clone หรือการโคลนเสียง เป็นอีกเทคโนโลยีที่เติบโตเร็ว โดยสามารถจำลองเสียงของบุคคลจากคลิปเสียงไม่กี่นาที ด้วยโมเดล AI เช่น Descript’s Overdub หรือ ElevenLabs โดยผู้ไม่หวังดีสามารถนำเสียงเหล่านี้ไปใช้ในแคมเปญปลอมตัว โกงเงิน หรือสร้างความเข้าใจผิดในสังคม ตัวอย่างการใช้งานที่ผิดคือกรณีหลอกขอเงินจากครอบครัวของบุคคลโดยใช้เสียงปลอมของคนในครอบครัว (อ้างอิง: Forbes)

          อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนี้ไม่ได้มีแต่ด้านลบ ยังมีการนำไปใช้ในเชิงสร้างสรรค์ เช่น การคืนเสียงให้ผู้ป่วยที่สูญเสียความสามารถในการพูด หรือช่วยนักพากย์ในงานที่ต้องใช้เสียงจำนวนมาก เช่น สร้างบทพากย์จาก script โดยไม่ต้องอัดเสียงจริง อีกตัวอย่างหนึ่งคือวงการเกมและภาพยนตร์ที่เริ่มใช้เทคโนโลยี Voice Clone เพื่อให้ตัวละครมีเสียงที่สมจริงมากขึ้น และสามารถอัปเดตหรือแก้ไขบทพูดได้โดยไม่ต้องเรียกนักแสดงกลับมาอัดใหม่ คำถามสำคัญคือ เราจะวางกรอบให้เทคโนโลยีนี้ถูกใช้เพื่อ “สร้าง” ไม่ใช่เพื่อ “ลวง” ได้อย่างไร?

ผลกระทบต่อสังคม ความเชื่อ และความปลอดภัยของข้อมูล

          เทคโนโลยี AI ที่สามารถสร้างภาพและเสียงปลอมอย่าง Deepfake และ Voice Clone ก่อให้เกิดผลกระทบหลายด้านต่อสังคมอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในยุคที่ข้อมูลข่าวสารไหลผ่านสื่อสังคมออนไลน์อย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้คนยากที่จะตรวจสอบความจริงของข้อมูลเหล่านั้นได้ทันที

  1. ผลกระทบต่อความเชื่อและความไว้วางใจในสื่อ
              เมื่อเทคโนโลยี AI สามารถสร้างเนื้อหาที่ดูสมจริงมากจนคนแยกไม่ออก การปล่อยข่าวปลอม (Fake News) หรือวิดีโอปลอม (Fake Video) จะเพิ่มความเสี่ยงให้ผู้คนสูญเสียความเชื่อมั่นในสื่อหรือข้อมูลข่าวสารที่ได้รับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเลือกตั้งหรือเหตุการณ์สำคัญทางการเมือง เช่น การใช้ Deepfake ปลอมเสียงหรือใบหน้าของนักการเมืองเพื่อเผยแพร่ข้อมูลผิดๆ ส่งผลให้เกิดความแตกแยกทางสังคมและลดทอนความน่าเชื่อถือของสถาบันต่างๆ (อ้างอิง: Journal of Media Ethics, 2023)
  2. ผลกระทบต่อความปลอดภัยของข้อมูลและความเป็นส่วนตัว
              การใช้ Voice Clone และ Deepfake สามารถนำไปสู่การละเมิดความเป็นส่วนตัวได้ เช่น การปลอมแปลงเสียงเพื่อหลอกลวงทางโทรศัพท์ในรูปแบบ “Social Engineering” หรือโจรกรรมข้อมูลสำคัญ เช่น การหลอกลวงทางโทรศัพท์เพื่อขอข้อมูลบัญชีธนาคาร หรือแฮ็กเข้าสู่ระบบโดยอ้างเสียงเจ้าของบัญชี (อ้างอิง: Cybersecurity Journal, 2024) ในบางกรณียังมีการสร้างวิดีโอ Deepfake เพื่อปลุกปั่นทางสังคมหรือสร้างความเสียหายส่วนบุคคล เช่น การสร้างภาพลามกปลอม หรือวิดีโอปลอมที่ทำให้เกิดความเสียหายทางชื่อเสียง
  3. ความเสี่ยงในระดับองค์กรและธุรกิจ
              องค์กรและบริษัทต่าง ๆ ต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการที่ AI ถูกใช้หลอกลวง เช่น การปลอมแปลงเอกสารเสียงหรือวิดีโอในกระบวนการทำธุรกรรม หรือแม้แต่การใช้ AI สร้างเนื้อหาเพื่อแอบอ้างเป็นบริษัทคู่แข่ง ทำให้เกิดความเสียหายทั้งทางการเงินและภาพลักษณ์ (อ้างอิง: Deloitte Insights, 2023)
    นอกจากนี้ ภัยไซเบอร์ที่เกิดจาก AI ยังขยายวงกว้างและซับซ้อนขึ้น ต้องมีการพัฒนาระบบความปลอดภัยข้อมูลและการตรวจจับเนื้อหาปลอมอย่างต่อเนื่อง
  4. ผลกระทบทางจิตใจและความรู้สึกของผู้คน
              การพบเห็นเนื้อหาปลอมอย่าง Deepfake ที่มีเนื้อหาผิด ๆ อาจสร้างความเครียด วิตกกังวล และความไม่มั่นคงทางอารมณ์ในผู้ชม โดยเฉพาะเมื่อเนื้อหานั้นเกี่ยวข้องกับตัวบุคคลจริงหรือคนใกล้ชิด นอกจากนี้ยังส่งผลให้เกิดความสับสนในแง่ของความจริงและความจริงเสมือนในสังคมยุคดิจิทัล (อ้างอิง: Psychology Today, 2024)
  5. กรณีศึกษาไวรัลในไทยกับภาพตึกร้างเจริญกรุง
              ในช่วงที่ผ่านมา มีกรณีไวรัลภาพตึกร้างเจริญกรุงที่ถูกสร้างขึ้นโดย AI หรือเทคนิคกราฟิกสมจริงในช่วงเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึ่งทำให้ผู้ชมบางส่วนเข้าใจผิดว่าเป็นเหตุการณ์จริง กรณีนี้สะท้อนถึงความท้าทายในการควบคุมและตรวจสอบข้อมูลปลอมในประเทศไทย และส่งผลให้เกิดการตั้งคำถามถึงความรับผิดชอบของผู้สร้างเนื้อหาและผู้เผยแพร่ข้อมูลในยุค AI

ควรควบคุมแค่ไหน? เมื่อเส้นแบ่งระหว่างนวัตกรรมกับอันตรายเริ่มจางลง

          ด้วยพลังของ AI ที่สามารถสร้างเนื้อหาสมจริงจนหลอกได้ การตั้งกรอบและข้อจำกัดในการใช้เทคโนโลยีนี้จึงเป็นเรื่องที่ทั่วโลกกำลังถกเถียงและหาทางออกอย่างจริงจัง เพราะถ้าไม่มีการควบคุมที่เหมาะสม อาจนำไปสู่ปัญหาที่รุนแรงทั้งในระดับบุคคล สังคม และเศรษฐกิจ

  1. แนวทางการควบคุมทางกฎหมายและนโยบาย
              หลายประเทศเริ่มออกกฎหมายเพื่อควบคุมการใช้ Deepfake และ Voice Clone เช่น สหรัฐอเมริกามีกฎหมายที่ห้ามสร้างและเผยแพร่ Deepfake ในบางกรณีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งหรือการปลอมแปลงเพื่อหลอกลวง (อ้างอิง: U.S. Congress Report, 2023) ในยุโรปก็มีข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัวและการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล (GDPR) ที่เข้มงวด ซึ่งช่วยควบคุมการนำ AI ไปใช้ในเชิงลบ ประเทศไทยก็เริ่มมีการสนทนาและพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้ AI และการปลอมแปลงเนื้อหาในโลกดิจิทัล เพื่อปกป้องประชาชนจากภัยไซเบอร์และข้อมูลเท็จ
  2. มาตรการทางเทคนิคและนวัตกรรมเพื่อตรวจจับเนื้อหาปลอม
    นอกจากกฎหมายแล้ว การพัฒนาระบบตรวจจับ Deepfake และ Voice Clone ก็เป็นสิ่งจำเป็น เช่น การใช้ AI ในการวิเคราะห์ลักษณะการเคลื่อนไหวของใบหน้า หรือการตรวจสอบคลื่นเสียงที่บ่งบอกถึงการโคลนเสียง (อ้างอิง: IEEE Transactions on Information Forensics and Security, 2024)
    บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ เช่น Google, Facebook และ Microsoft ลงทุนพัฒนาเครื่องมือและแพลตฟอร์มที่ช่วยตรวจสอบและติดป้ายเตือนเนื้อหาที่อาจเป็น Deepfake หรือข้อมูลเท็จ
  3. ความสำคัญของการสร้างความรู้และตระหนักรู้ในสังคม
              การให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับเทคโนโลยี AI และวิธีการแยกแยะเนื้อหาจริง-ปลอม เป็นอีกกลยุทธ์สำคัญในการป้องกันผลกระทบจากเนื้อหาเท็จ การจัดแคมเปญให้ความรู้ การสอนทักษะคิดวิเคราะห์ และการส่งเสริมความระมัดระวังในการรับข่าวสาร จะช่วยลดความเสี่ยงของการถูกหลอกลวงและแพร่กระจายข่าวปลอม
  4. การใช้งาน AI อย่างรับผิดชอบและจริยธรรม
              ผู้พัฒนาและผู้ใช้เทคโนโลยี AI ต้องมีความรับผิดชอบในการใช้ AI เพื่อสร้างนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและไม่ก่อให้เกิดอันตราย การกำหนดแนวปฏิบัติ (Ethical AI Guidelines) เช่น ความโปร่งใส (Transparency) การเคารพสิทธิความเป็นส่วนตัว และการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล จะช่วยให้เทคโนโลยี AI พัฒนาไปในทิศทางที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือ
  5. ความท้าทายในอนาคตและโอกาสการพัฒนา
              AI จะยังคงพัฒนาไปอย่างรวดเร็วและอาจสร้างความเปลี่ยนแปลงในหลายมิติ หากเราสามารถตั้งกรอบการควบคุมที่เหมาะสม เทคโนโลยีนี้จะเป็นดาบสองคมที่เปลี่ยนแปลงโลกในทางบวกได้ เช่น การใช้ AI ในการสื่อสาร การศึกษา การแพทย์ และศิลปะ แต่ถ้าหากขาดการควบคุม อาจเกิดวิกฤติทางข้อมูลข่าวสารและความเชื่อที่ยากจะแก้ไข

สรุป              

โลกของ AI นั้นเต็มไปด้วยศักยภาพในการเปลี่ยนโลก แต่ก็แฝงด้วยความท้าทายใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่ความเชื่อของผู้บริโภคจนถึงระบบรักษาความปลอดภัยระดับประเทศ เทคโนโลจี AI ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของนักพัฒนา แต่เป็นเรื่องของทุกคน ForeToday ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation และ Marketing Technology สามารถช่วยองค์กรของคุณนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภค สร้างแคมเปญการตลาดอัตโนมัติ และปรับตัวสู่โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://foretoday.asia/