Awareness ทำอย่างไรให้ลูกค้ารู้จักธุรกิจของเรา เเละมีผลให้ธุรกิจโตต่อเนื่อง

ทำอย่างไรให้ลูกค้ารู้จักธุรกิจของเรา

เวลาเราจะขายของเรามักคิดว่าต้องเริ่มจากให้คนรู้จักคุณก่อน แต่คุณเคยซื้ของที่คุณไม่แม้แต่จะรู้จักแบรนด์ของเค้ามั้ย ยกตัวอย่างง่าย ๆ เราซื้อของจาก Lazada แต่จริง ๆ แล้ว Lazada ไม่ได้เป็นคนผลิตออกมาแต่อย่างใด แต่เป็นแบรนด์โนเนม ที่รับของมาจากที่อื่นแล้วก็เอามาลงที่ Lazadaเรามาวิเคราะห์กระบวนการณ์นี้กัน

  • คนซื้อของเพราะเราอยากได้อะไรบางอย่าง
  • Lazada เป็นที่รู้จักเรื่อง Online Shopping Platform
  • ร้านค้า โนเนม ขายของออก
  • Lazada ได้ส่วนแบ่งทางการตลาด

สรุปคือเราซื้อของจาก Lazada เพราะเรารู้จักชื่อเสียง และเรารู้ว่าของที่เราต้องการมีขายที่นั่นคุณเห็นหรือยังว่า การเป็นที่รู้จักนั้นสำคัญกับการทำธุรกิจมากแค่ไหน แล้วขั้นตอนการทำ Awareness อย่างไรให้ลูกค้ารู้จักธุรกิจของเราบนออนไลน์ Awareness คือการตระหนักรู้ การที่ลูกค้ารับรู้ถึงแบรนด์ การมีตัวตนบนโลกออนไลน์เเละ ลูกค้ารู้จักธุรกิจของเรา แต่ไม่ใช่ว่าลูกค้าเค้าจะคิดถึงคุณตลอดนะครับ เค้าจะคิดถึงคุณเมื่อเค้าต้องการสินค้าหรือบริการคุณ การทำ Awareness บนออนไลน์ฆ่าคนมามาก เรามักถูกพร่ำสอนว่าออนไลน์ใช้เงินในการเข้าถึงคนน้อยกว่า และหลายคนก็จะดูแต่ Impression (จำนวนครั้งของการมองเห็นโฆษณา), View (จำนวนครั้งของการดูวีดีโอ), Reach(จำนวนคนที่เราเข้าถึงผ่านโฆษณา), และ อื่น ๆ ซึ่งก็ไม่ผิดอะไร แต่ก็มีอีกสิ่งที่สามารถช่วยคุณเข้าใจข้อมูลเรื่องการทำ Awareness บนออนไลน์ ได้มากขึ้น ซึ่งต่อไปจะเป็นขั้นตอนคร่าว ๆ ในการทำ Awareness บนออนไลน์ข้อดีของการใช้การตลาดออนไลน์คือความสามารถในการ ‘สร้างการรับรู้’ โดยใช้งบประมาณในการเริ่มต้นที่ต่ำ และสามารถวัดผลได้เร็วและสะดวกกว่าสื่อ Traditional media ส่วนข้อเสียคือ บนโลกออนไลน์มีสื่ออยู่เป็นจำนวนมากกว่า และต่างแข่งขันกันอย่างรุนแรงเพื่อให้เสียงของตนเข้าถึงการรับรู้ของผู้มุ่งหวัง กรณีที่แบรนด์ของคุณยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง หากเราไม่ทำการตลาดออนไลน์เพื่อสร้างการรับรู้อย่างมีประสิทธภาพและถูกทาง ก็เปรียบเสมือนธุรกิจของคุณไม่มีตัวตนบนโลกออนไลน์เลย ดังนั้น!สิ่งที่จำเป็นต้องทำในขั้นตอนนี้คือ การสื่อสารให้กลุ่มเป้าหมายของคุณเข้าใจว่าทำไมพวกเขาเหล่านั้น จึงเหมาะสมกับสินค้าหรือบริการของแบรนด์ คุณสามารถสร้างการรับรู้ผ่านการตลาดออนไลน์ได้ 2 รูปแบบดังนี้ แบบที่ 1 – การใช้ Inbound Marketing การใช้การตลาดแบบดึงดูดให้คนเข้ามาหาคุณผ่านช่องทางออนไลน์ หรือ Inbound Marketing ซึ่งเริ่มถูกพูดถึงในประเทศไทยมากขึ้น สื่อสารด้วย Content Marketing

  • การทำ Search Engine Optimization (SEO) ให้ถูกหาเจอบน Google
  • การใช้สื่อ Social Media ต่าง ๆ เช่น Facebook, LINE, Youtube หรือ Instagram เป็นต้น
  • การใช้ Email Marketing
  • การตลาดแบบปากต่อปาก
  • การสื่อสารผ่านเว็บบอร์ด

การทำ Inbound Marketing นี้จะเน้นไปที่การใช้ช่องทางที่ไม่มีค่าใช้จ่าย โดยสามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้จากบทความ 6 ช่องทางการเพิ่ม Traffic สำหรับ E-commerce แบบฟรี ๆแต่ได้ผลชะงัด แบบที่ 2 – การใช้ Outbound Marketing คือการใช้การตลาดแบบผลัก โดยหลักแล้วจะใช้การโฆษณาผ่าน Social Media ต่าง ๆ ซึ่งข้อดีของการลงโฆษณาบนสื่อออนไลน์ก็คือ สามารถลงโฆษณาโดยใช้งบประมาณเริ่มต้นที่ต่ำได้อย่างแม่นยำและตรงกลุ่มกว่าสื่อแบบ Traditional ประเภท โทรทัศน์, วิทยุ หรือสื่อสิ่งพิมพ์ และนอกจากนั้นยังสามารถวัดผลได้อย่างเร็วและสะดวก

  • Facebook Ads
  • LINE Broadcast
  • Google Text/Image Ads
  • Youtube Video Ads
  • Instagram Ads

คุณอ่านมายาวมากแต่เคล็ดลับที่แท้จริงจะเริ่มต่อจากนี้ครับ คุณปล่อยโฆษณาไปมากแค่ไหนคุณรู้อยู่แก่ใจแต่ถ้ามีคนจดจำคุณได้จริง ช่องทางเหล่านี้ต้องมีคน Search เพิ่มขึ้น เพราะการSearch กำลังบ่งบอกถึง Demand ในตลาดออนไลน์อยู่ นั่นคือ

  • SEO เฉพาะชื่อแบรนด์เท่านั้น
  • Direct (การพิมชื่อเว็บเราเข้ามาโดยตรง)
  • Referral (การเข้าเว็บไซต์เราจากเว็บไซต์อื่น ๆ )

ถ้าคุณสร้าง Awareness ได้ปังจริง ๆ วันนึงที่คุณหยุดรันโฆษณา คนเหล่านี้ยังสร้างมูลค่าให้ธุกิจคุณอยู่ ดังนั้นคุณอย่ามองตัวเลขแค่มุมเดียวนะครับ ดูแต่ Impression (จำนวนครั้งของการมองเห็นโฆษณา), View (จำนวนครั้งของการดูวีดีโอ), Reach(จำนวนคนที่เราเข้าถึงผ่านโฆษณา), และ อื่น ๆ  เยอะไม่ได้แปลว่าดีเวลาเราจะขายของเรามักคิดว่าต้องเริ่มจากให้คนรู้จักคุณก่อน แต่คุณเคยซื้อของที่คุณไม่แม้แต่จะรู้จักแบรนด์ของเค้ามั้ย ยกตัวอย่างง่าย ๆ เราซื้อของจาก Lazada แต่จริง ๆ แล้วLazada ไม่ได้เป็นคนผลิตออกมาแต่อย่างใด แต่เป็นแบรนด์โนเนม ที่รับของมาจากที่อื่นแล้วก็เอามาลงที่ Lazada

“วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า จะได้มาต้องเริ่มที่วันนี้”

“A better tomorrow starts today”