เมื่อ Facebook และ Instagram เป็น Social Media Platform ยอดฮิตของเจ้าของธุรกิจที่จะช่วยในการเข้าถึงลูกค้า หากลุ่มลูกค้าใหม่ๆ รวมไปถึงสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าเดิม เพราะจากสถิติต่างๆ พบว่า Facebook ก็ยังครองอันดับ1 แพลตฟอร์มที่มีคนใช้มากที่สุด รวมไปถึง Instagram ถึงแม้จะอยู่อันดับที่ 4 แต่ถือว่าเป็นอันดับที่สูงและมีจำนวนผู้ใช้ที่ไม่น้อยไปกว่าแพลตฟอร์มอื่นเลย
(อ้างอิง : Data Source)
Instagram เป็น platform ที่เหมาะกับการทำโฆษณาอีกช่องทางหนึ่ง เพราะแพลตฟอร์มนี้เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการนำเสนอรูปภาพ วิดีโอ ไลฟ์สไตล์ ของแบรนด์ ได้มากขึ้น จากที่ทุกคนอาจจะทราบอยู่แล้วว่า Instagram เป็นบริษัทลูกของ Facebook ซึ่งในการทำโฆษณาบนเฟสบุคก็สามารถทำได้ที่ Business Manager แต่ในขณะเดียวกันบนแอปพลิเคชัน Instagram ก็สามารถทำโฆษณาได้โดยตรง หรือที่เราเรียกกันว่าการ Boost Post แล้วทีนี้เราควรจะยิงโฆษณาที่ไหนดี ถ้ามันสามารถทำได้ทั้งสอง วันนี้เราเลยจะพูดถึงความแตกต่างหลักๆ ของทั้งสองวิธีนี้มาให้ทุกคนอ่านกัน ไปดูเลย
1. Objective
สิ่งสำคัญที่สุดของการเริ่มทำโฆษณาคือ วัตถุประสงค์ของโฆษณา (Objective) เป็นสิ่งแรกที่นักการตลาดหรือเจ้าของธุรกิจที่ต้องการจะยิงโฆษณาต้องคำนึงถึง เพราะสิ่งเหล่านี้จะสะท้อนผลลัพธ์ที่เราจะได้ เพราะเฟสบุคหรืออินสตาแกรมจะใช้ algorithm ของมันจัดการให้คุณได้ตามวัตถุประสงค์ที่คุณเลือกนั่นเอง ดังนั้น
ความแตกต่างของ Objective ทั้งสองคือ จำนวน Campaign Objective บน Business Manager ที่มีให้เลือกมากกว่าการ Boost Post บน Instagram จากรูปข้างล่างจะเห็นได้ว่าบน Business Manager จะมีด้วยกัน 6 Objectives (สามารถอ่านเพิ่มเติม แต่ละจุดประสงค์แคมเปญได้ ที่นี่)
ในขณะเดียวกันบนแอพ Instagram มี Goal ให้เลือกเพียงแค่ 3 อันเท่านั้น ถ้าดูรายละเอียดของวัตถุประสงค์ทั้งสอง จะเห็นว่าการทำงานหรือจุดประสงค์จะคล้ายกัน คือ วัตถุประสงค์ของ Traffic จะเทียบเท่า Profile Visits และ Website Visits บนแอพ ซึ่งทั้งสองนี้ต่างกันที่ Profile Visits จะเน้นให้คนกดเข้าไปที่หน้าโปรไฟล์อินสตาแกรม หรือ websit Visits เน้นให้คนกดไปที่ Landing page ที่เราต้องการให้คนเห็นโฆษณากดไป
Objective บน Business Manager
Goal บนแอพ Instagram
2. การติดตั้งและจัดการโฆษณา
จากข้อด้านบนจะเห็นว่า Business Manager จะมีวัตถุประสงค์ในการสร้างแคมเปญมากกว่าการบูสท์โพสท์บนไอจีโดยตรง ทำให้การติดตั้งโฆษณาบน Business Manager จะมี Options ให้เลือกมากกว่านั่นเอง อย่างเช่น การเลือกกลุ่มเป้าหมายที่ละเอียดกว่า การเลือก Placement เช่น ให้ลงที่ Ig feed อย่างเดียว หรือให้ลงที่ Ig story เท่านั้น รวมไปถึงการสร้าง Ad ขึ้นมายิงเป็น Draft post หรือการสร้าง ad หลายๆตัวเพื่อทำการเทสต์เพื่อหาผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ในขณะเดียวกันการยิงโฆษณาผ่าน Instagram โดยตรงจะใช้เวลาในการ set up ที่น้อยกว่ามากๆ เพราะว่ามี options ให้เลือกค่อนข้างน้อย
3. Target Audience
ในการ set up ที่ได้พูดไปข้อก่อนหน้า จะมีเรื่องของกลุ่มเป้าหมายบน Business Manager ที่สามารถเลือกได้ละเอียดกว่าการบูสท์โพสท์บนไอจี ทั้งสองวิธีสามารถเลือก Location ได้เหมือนกันแต่บน Business Manager สามารถเลือก Location ที่เราไม่อยากให้โฆษณาไปแสดงออกได้หรือเป็นการ Exclude นั่นเอง ซึ่งในส่วนของการบูสท์โพสท์ไม่สามารถ Exclude ออกได้
ต่อไปจะมาพูดถึงการเลือก Detailed Targeting ทั้งสองแบบ บน Business Manager จะสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายได้ละเอียดกว่า โดยมีทั้งการ Narrow และ Exclude ร่วมไปถึงมีให้เลือกทั้ง Interest, Behavior และ Demographic สิ่งเหล่านี้ทำให้ Business Manager สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงมากกว่าการเลือกกลุ่มเป้าหมายบนอินสตาแกรม เพราะกลุ่มเป้าหมายบนไอจีสามารถเลือกได้แค่ Interest กว้างๆ เท่านั้น แต่ถ้าเราไม่ต้องการที่จะเลือกกลุ่มเป้าหมาย การบูสท์โพสท์บนไอจีก็สามารถเลือก Audience แบบ Automatic ได้ โดยกลุ่มเป้าหมายที่โฆษณาจะไปแสดงจะเป็นกลุ่มคนที่มีความคล้ายกับ Follower บนเพจ
บทส่งท้าย
ถ้าถามว่าแล้วยังงี้เราควรจะยิงที่ไหนดีกว่ากัน ทางผู้เขียนแนะนำว่าให้เราดูจุดประสงค์ของการยิงโฆษณาก่อนว่า ต้องการอะไร เช่น ถ้าต้องการยอด Follow บนไอจี ก็แนะนำให้ใช้วิธีการ Boost Post เพราะว่าเราจะมีข้อมูลของยอด Follow ที่เพิ่มขึ้น หรือรูปภาพไหนที่ทำให้คนกดติดตามเรา หรือถ้าเราแค่อยากได้ Engagement ก็อาจจะลองเทสต์ดูว่ายิงที่ไหนดีกว่ากัน สุดท้ายนี้อยากทุกคนลองไปเทสต์หลายๆแบบเพื่อหาผลลัพธ์ที่ดีที่สุดให้กับธุรกิจของคุณ หวังว่าหลังจากทุกคนอ่านจบแล้วจะลองไปใช้พิจารณาโฆษณาในอนาคตต่อไป