Brand Identity Prism คือ แนวคิดที่คิดขึ้นโดย Kapferer เป็นเครื่องมือในการสร้างให้ธุรกิจมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น แบรนด์ไม่ควรมีแค่ชื่อเท่านั้น แต่ต้องมีอะไรที่ลึกกว่านั้นที่สามารถเชื่อมโยงกับลูกค้าได้ และควรมีบุคลิกภาพที่ไม่เหมือนใคร มีความเชื่อหรือความมุ่งมั่นเป็นของตัวเอง รวมไปถึงอัตลักษณ์ที่แตกต่าง นับเป็นหนึ่งแนวคิดในกระบวนการสร้างความสำเร็จให้กับแบรนด์ ที่สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองของแบรนด์ในฐานะผู้ส่งสาร ไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในฐานะผู้รับสาร ซึ่งประกอบไปด้วย 6 องค์ประกอบด้วยกัน
รูปจากเว็บ https://www.popticles.com/branding/brand-identity-prism/
1. Physique การสร้างบุคลิกลักษณะทางกายภาพที่มองเห็นได้ผ่านโลโก้ สี รูปร่างต่างๆ นับเป็นพื้นฐานแรกของแบรนด์ที่สะท้อนให้เห็นภาพรวมของแบรนด์ว่าแบรนด์เราคืออะไร เป็นตัวแทนของสิ่งใด และเราในฐานะเจ้าของแบรนด์นั้นอยากให้กลุ่มเป้าหมายรับรู้เราอย่างไร
รูปจากเว็บ https://logowik.com/social-media-vector-icon-2-17638.html
2. Personality การกำหนดลักษณะบุคลิกภาพของแบรนด์ (Brand Personality) ให้ชัดเจน จะทำให้แบรนด์ของเรารู้ว่าจะสื่อสารกับคนภายนอกอย่างไร ผ่านการใช้โทนเสียง การออกแบบ การใช้ตัวหนังสือและเนื้อหาในงานโฆษณาประเภทต่างๆ
3. Culture วัฒนธรรมนับเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความเป็นตัวตนของแบรนด์ ซึ่งวัฒนธรรมนั้นเป็นได้ทั้งการสร้างวัฒนธรรมจากภายในองค์กร รวมไปถึงการนำเอาความเป็นถิ่นกำเนิดของแบรนด์หรือสินค้ามาใช้ และถ่ายทอดผ่านสินค้าหรือบริการมาให้กลุ่มเป้าหมายได้รับรู้ เช่น Google ที่ได้รับการโหวตให้เป็นแบรนด์ด้านเทคโนโลยีที่ดีที่สุด ที่ได้นำเสนอเรื่องราวความยืดหยุ่น ความคิดสร้างสรรค์และความสนุกสนานในการทำงาน ผ่านการตกแต่งออฟฟิศให้มีสีสันและสร้างให้เกิดแรงบันดาลใจในการทำงาน
4. Relationship ความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับกลุ่มลูกค้า ที่ลูกค้าคาดหวังบางสิ่งจากแบรนด์ที่นอกเหนือจากตัวสินค้าและบริการ คือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าสามารถสร้างได้หลากหลายรูปแบบ และโดยทั่วไปหลายๆแบรนด์จะใช้วิธีการนำเสนอการรับประกันสินค้าและบริการหลังการขาย นับเป็นหนึ่งในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ได้
5. Reflection แบรนด์คือสิ่งที่เกิดจากมุมมองของลูกค้า ที่ได้รับรู้ข้อมูล รวมถึงประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากการได้สัมผัสกับแบรนด์ เช่น แบรนด์นี้สำหรับคนสมัยใหม่ แบรนด์นี้สำหรับคนรักสุขภาพ แบรนด์นี้เหมาะสำหรับผู้ชายหรือผู้หญิง
6. Self-Image แบรนด์ต้องกำหนดให้ได้ว่าจะสร้างภาพลักษณ์ให้เกิดในใจกลุ่มลูกค้าได้อย่างไร และจะสร้างให้ลูกค้าเกิดแรงบันดาลใจต่อแบรนด์ของเราได้อย่างไร ฉะนั้นการทำความเข้าใจอุดมคติของลูกค้าว่าเค้ามองเห็นตัวเองว่าเป็นอย่างไร อยากแสดงออกอย่างไร เป็นสิ่งที่แบรนด์จำเป็นต้องคำนึงถึงและเชื่อมโยงสิ่งเหล่านี้ให้ได้
ตัวอย่าง Brand Identity Prism ของ Apple
(Physique) ที่มองเห็นได้ของ Apple คือ การคิดอย่างแตกต่างสร้างสรรค์ผ่านสินค้าทั้งคอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ้ค มือถือ ไอแพด โดดเด่นที่โลโก้แอปเปิ้ลที่ถูกกัดแหว่งไป
(Personality) นั้น Apple ดูเป็นคนที่มีความเจ๋ง มีความเท่ห์ เป็นคนที่มีความเรียบง่าย และเป็นคนที่ดูทันสมัย
(Relationship) Apple มีความเป็นมิตร สร้างความผูกพันธ์ด้านอารมณ์กับลูกค้า และเชื่อมโยงด้วยความรู้สึกทางใจ ผ่านการบริการหลังการขายและการการันตี
(Culture) ผ่านความเชื่อในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงเพื่อสิ่งที่ดี การเป็นพลังในการขับเคลื่อนให้ผู้คนผ่านการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย และการแสดงถึงความเป็นถิ่นกำเนิดจากประเทศอเมริกา Apple มีภาพสะท้อน
(Reflection) ถึงการยกระดับให้กับตัวเอง สำหรับผู้ที่ใช้แบรนด์ Apple จะรู้สึกถึงความมีระดับที่แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ
(Self-Image) ของ Apple แสดงถึงความเป็นแบรนด์สำหรับคนรุ่นใหม่ มีความสนุกสนานและยังบอกถึงอิสระทางความคิด
ข้อมูลจากเว็บ https://www.popticles.com/branding/brand-identity-prism/
Brand identity prism มันเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้แบรนด์ของเราแข็งแกร่งขึ้น ไม่ใช่แค่มีชื่อเท่ๆ แต่ต้องมีเอกลักษณ์ที่ลึกกว่านั้น อย่างเช่น บุคลิกที่ไม่เหมือนใคร, ความเชื่อที่เข้มแข็ง และอัตลักษณ์ที่โดดเด่น วิธีนี้มันช่วยให้แบรนด์เราเข้าใจตัวเองและลูกค้าได้ดีขึ้น ทำให้สามารถสื่อสารกับพวกเขาได้ตรงจุดมากขึ้นเลยล่ะ!
“A better tomorrow starts today”
Line@ : bit.ly/ForeToday
FB Chat : http://m.me/foretoday
#Foretoday #Digitalagency