เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันหลังจากประสบปัญหากับโรคระบาด Covid -19 มาระยะหนึ่งเเล้ว
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้พัฒนาความรุนแรงมาจนถึงระดับที่ส่งผลกระทบในวงกว้างไปทั่วโลก หลายประเทศประกาศปิดประเทศ หลายๆ กิจกรรมสำคัญถูกเลื่อน ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวภาพยนต์ หรือการแข่งขันกีฬาสำคัญถูกเลื่อน เช่น ฟุตบอลอังกฤษ ซึ่งแน่นอนว่ากำลังส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจและการลงทุนรุนแรงชัดเจนขึ้นตามลำดับ
ความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจถดถอยได้สะท้อนไปที่สภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด โดยตลาดหุ้นทั่วโลกมีการปรับตัวลดลงแล้วกว่า 30% นับตั้งแต่ต้นปี นำโดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งถือได้ว่าเข้าสู่ภาวะหมีเรียบร้อยแล้ว (Bear Market) และถือว่าเป็นการลดลงรุนแรงเกือบเทียบเท่ากับวิกฤตการเงินสหรัฐฯ ปี 2007-2008 ทั้งนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และไทยในบางวันลดลงหนักจนถึงระดับที่ต้องใช้ Circuit Breaker เป็นการหยุดการซื้อขายชั่วคราวเพื่อลดความตื่นตระหนกของนักลงทุน
วิกฤตความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นเป็นเสมือนสัญญาณที่ส่งไปให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องเร่งประกาศลดอัตราดอกเบี้ยแบบฉุกเฉินถึง 2 รอบ จนอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Fed Fund Rate) ล่าสุดลดลงเหลือ 0-0.25% อยู่ในระดับเดียวกันกับช่วงวิกฤตการเงินสหรัฐฯ ไปเรียบร้อยแล้ว พร้อมกันนั้นธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังได้นำมาตรการอัดฉีดเงินเพื่อเข้าซื้อสินทรัพย์ หรือ Quantitative Easing (QE) กลับมาใช้รอบใหม่ โดยกำหนดวงเงินเริ่มต้นไว้ที่ระดับ 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อซื้อพันธบัตรรัฐบาลและ ตราสารหนี้ที่ผูกกับสินเชื่อเงินกู้อสังหาริมทรัพย์ (Mortgage-backed Securities หรือ MBS)
มาตรการของธนาคารกลางสหรัฐฯ ครั้งล่าสุดนี้ถือเป็นการส่งสัญญาณให้ธนาคารกลางอื่นๆ ดำเนินนโยบายตามมาอีกหลายแห่ง ทั้งนี้ SCBS Research ประเมินว่าหากธนาคารกลางสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ยุโรป และอังกฤษ อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบตามที่ประกาศจะทำให้ปริมาณเงินในระบบเพิ่มขึ้น 1.87 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ทั้งนี้เพื่อให้ตลาดการเงินมั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดวิกฤตการเงินเหมือนในอดีต
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากกว่าท่องเที่ยว
การระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและภาคธุรกิจไทยในวงกว้างขึ้น ไม่ใช่เพียงภาคท่องเที่ยว แต่เริ่มมีสัญญาณว่ากำลังกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ และการใช้ชีวิตประจำวัน เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อในไทยยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดอยู่ที่ 721 รายแล้ว ( อัพเดทล่าสุดวันที่ 23 มีนาคม 2563 )
เงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ไทย
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงต่อเนื่อง SET Index ได้ลดลงไปต่ำกว่า 1,000 จุด ก่อนฟื้นตัวมายืนเหนือได้เล็กน้อย แรงขายส่วนใหญ่มาจากนักลงทุนต่างชาติที่นับตั้งแต่ต้นปี 2020 มีมูลค่าขายสุทธิสะสมกว่า 8.3 หมื่นล้านบาทแล้ว
เช่นเดียวกันกับตลาดตราสารหนี้ที่นักลงทุนต่างชาติมีมูลค่าขายสูงกว่า 6.4 หมื่นล้านบาท เนื่องมาจากนักลงทุนต่างชาติหันมาถือครองเงินสดเเทน สถานการณ์ดังกล่าวมีผลกดดันให้ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าไปบริเวณ 32 บาท
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณามูลค่าของตลาดหุ้นไทยโดยภาพรวม พบว่าอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าช่วงวิกฤตการเงินสหรัฐฯ ปี 2008 แล้วค่อนข้างมาก หากวัดจากระดับค่า PER Next 12 Months สะท้อนว่าราคาหุ้นโดยเฉลี่ยในปัจจุบันได้ลดลงไป สะท้อนความเสี่ยงของการปรับลดลงของกำไรสุทธิในอีก 12 เดือนข้างหน้าไปมากพอสมควรแล้ว
ผลกระทบของภาคอุตสาหกรรมสามารถเเบ่งได้ 3 ประเด็น
- ผลกระทบด้านเเนวโน้มธุรกิจ นักวิเคราะห์คาดว่ากลุ่มโรงเเรมได้รับผลกระทบมากที่สุด กลุ่มขนส่ง กลุ่มพลังงาน ได้รับผลกระทบตามมาผลกระทบด้านการปรับประมาณการกำไรสุทธิ นักวิเคราะห์ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2020 กลุ่มโรงเเรมมากที่สุด รองลงมาคือขนส่ง ตามมาด้วยพลังงานเเละปิโตรเคมี ระบาดจะถ฿ก
- ผลกระทบด้านราคาหุ้น พบว่ากลุ่มที่มีราคาลดลงมากสุดคือปิโตรเคมี รองลงมาคือธนาคารเเละพลังงาน ตามลำดับ
คำเเนะนำสำหรับการลงทุน
เนื่องจากวิกฤตรอบนี้เกิดการระบาดของ Covid -19 ดังนั้นความเสี่ยงจะยังไม่จบจนกว่าการเเพร่ระบาดจะถูกควบคุมได้นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ เเนะนำ wait & see เเต่หากรับความเสี่ยงได้สูง เเนะนำให้รีบซื้อขาย ส่วนนักลงทุนระยะยาวสามารถเลือกซื้อหุ้นพื้นฐานดีมีปันผลได้ โดยอาศัยช่วงจังหวะที่ตลาดเกิด panic Sell เชื่อว่าหากถือหุ้นไว้ 1 ปีขึ้นไป มีโอกาสได้รับผลตอบเเทนที่น่าพอใจ เเละหากประเมินสถานการณ์ให้ไกลขึ้นการลงทุนยังคงมีความเสี่ยงสูงที่ต้องติดตาม โดยหากการเเพร่ระบาดของ Covid -19 ไม่จบภายในครึ่งปี ตามที่ตลาดคาดหวัง อาจส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลก Downside เพิ่มขึ้น
Credit : https://thestandard.co/covid-19-crisis-and-thai-economy/
“วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า จะได้มาต้องเริ่มที่วันนี้”
“A better tomorrow starts today”