1. SEM คืออะไร ?
SEM (Search Engine Marketing) คือ การทำการตลาดออนไลน์ที่เน้นโฆษณาผ่านเครื่องมือค้นหา เช่น Google, Yahoo, หรือ Bing เพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ผ่านการแสดงผลโฆษณาในตำแหน่งพิเศษที่โดดเด่นบนหน้าค้นหา ช่วยให้เว็บไซต์ของธุรกิจติดอันดับต้น ๆ เมื่อลูกค้าค้นหาสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้อง
วิธีการทำ SEM
SEM ใช้ระบบการประมูลคำค้นหา (Keyword Bidding) โดยผู้โฆษณาจะเสนอราคาสำหรับคำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ซึ่งเมื่อมีการค้นหาคำนั้น ๆ โฆษณาจะปรากฏขึ้นในตำแหน่งบนสุดของผลการค้นหา โดยผู้ลงโฆษณาจะถูกเรียกเก็บเงินเมื่อมีการคลิกโฆษณา (Pay-Per-Click: PPC) สรุปง่าย ๆ เห็นเท่าไหร่ก็ได้ ไม่คลิกไม่เสียเงิน
2. ประเภทของการทำ SEM
- CPC (Cost-Per-Click): การกำหนดราคาต่อการคลิกหนึ่งครั้ง
- CPM (Cost-Per-Million Impressions): คิดค่าใช้จ่ายตามการแสดงผลโฆษณา 1,000 ครั้ง เหมาะสำหรับแบรนด์ที่เน้นการสร้างการรับรู้ (Brand Awareness)
- CPA (Cost-Per-Action): ผู้โฆษณาจะจ่ายเงินทุกครั้งที่มีการคลิกที่โฆษณา แต่ระบบจะช่วยให้เกิด การ Action บนเว็บไซต์ สำคัญคือต้องมีการวัดผล ผ่านตัว Pixel
3. เทคนิคการทำ SEM ให้มีประสิทธิภาพ
- เลือกคำค้นหา (Keyword Research): วิเคราะห์คำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการที่กลุ่มเป้าหมายจะใช้ โดยคำนึงถึงคีย์เวิร์ดที่มีความต้องการในตลาด (High Intent Keywords) และคำค้นหาที่มีค่า CPC ไม่สูงเกินไป เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
- จัดกลุ่มคำค้นหา (Keyword Grouping): การจัดกลุ่มคำค้นหาอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การแยกคำค้นหาสำหรับสินค้าหรือบริการที่แตกต่างกัน
- เขียนข้อความโฆษณาที่ดึงดูด (Compelling Ad Copy): เขียนโฆษณาให้ชัดเจน กระชับ และกระตุ้นให้เกิดการคลิก
- ตั้งงบประมาณโฆษณา (Budget Planning): ควบคุมงบประมาณให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ เช่น กำหนดงบประมาณสูงในช่วงโปรโมชั่น หรือแคมเปญที่ต้องการยอดขายมากเป็นพิเศษ
- วิเคราะห์ผลลัพธ์ (Analytics and Optimization): ติดตามและวิเคราะห์ผลลัพธ์ เช่น อัตราการคลิก (CTR), อัตราการแปลง (Conversion Rate), และ ROI เพื่อปรับปรุงแคมเปญอย่างต่อเนื่อง
4. ข้อดีและข้อเสียของ SEM
- ข้อดี
- ได้ผลรวดเร็ว: สามารถแสดงผลในหน้าแรกของการค้นหาได้ทันที
- ควบคุมงบประมาณได้ง่าย: ปรับงบประมาณตามประสิทธิภาพของแคมเปญได้
- วัดผลได้ละเอียด: ใช้เครื่องมือ Google Ads ติดตามได้ทุกอย่าง หรือ ใช้เครื่องมืออื่น เช่น Google Analytics เพื่อติดตามพฤติกรรมผู้ใช้งาน
- ข้อเสีย
- ค่าโฆษณาสูง: หากคำค้นหามีการแข่งขันสูง ราคาต่อคลิกจะเพิ่มขึ้น
- ผลระยะสั้น: เมื่อหยุดการจ่ายค่าโฆษณา ผลลัพธ์จะหายไปทันที
- ต้องการการบริหารจัดการที่ดี: ต้องปรับแคมเปญและคีย์เวิร์ดอย่างสม่ำเสมอ โดยต้องเข้าใจ Quality Score
- มีกลุ่มเป้าหมายจำกัด: ยิ่งเราเลือกคีย์เวิดที่เฉพาะเจาะจง (Long Tailed Keyword) ปริมาณของคนที่มาค้นหาก็จะน้อยตามไปด้วย
5. เปรียบเทียบระหว่าง SEM และ SEO
- SEM:
- ใช้งบประมาณในการโฆษณา
- เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังการลงโฆษณา
- เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการยอดขายหรือการเข้าถึงในระยะสั้น
- SEO:
- เน้นการปรับปรุงเนื้อหาเว็บไซต์เพื่อให้ติดอันดับแบบ Organic โดยไม่เสียค่าโฆษณา
- ใช้เวลาในการเห็นผลลัพธ์นานกว่า
- เหมาะสำหรับการสร้างผลลัพธ์ระยะยาวและการสร้างความน่าเชื่อถือ
6. วิธีการเลือกใช้ SEM อย่างมีประสิทธิภาพ
- วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายและวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน
- เริ่มจากงบประมาณน้อย ๆ และเพิ่มงบตามผลลัพธ์
- ติดตามผลการคลิกและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ตามแนวโน้ม
- ใช้ Google Ads หรือเครื่องมือโฆษณาอื่น ๆ ที่มีฟังก์ชันการวัดผลและการวิเคราะห์อย่างครบวงจร
สรุป SEM คืออะไร ?
เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการดึงดูดกลุ่มลูกค้าให้เข้าถึงสินค้าและบริการได้อย่างตรงจุด และมีความสามารถในการวัดผลที่ชัดเจน แต่การบริหารจัดการต้องมีความเชี่ยวชาญเพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายไม่ให้บานปลาย