E-commerce คืออะไร ?
E-commerce คือการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เเละ E-commerce ย่อมาจาก Electronic Commerce คือการทำธุรกิจโดยซื้อขายสินค้า หรือโฆษณาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ในอดีตเคยนิยมใช้ช่องทางผ่านสื่อต่างๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ เเละสื่อกลางในการใช้งานที่มากที่สุดในปัจจุบัน คืออินเตอร์เน็ตนั่นเอง โดยสามารถใช้ทั้งข้อความเสียง ภาพ เเละคลิปวีดีโอในการประกอบธุรกิจได้ การทำธุรกิจเเบบ E-commerce สามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างกว้างขวาง เเละทำให้ลดค่าใช้จ่ายต่างๆในกนารดำเนินธุรกิจได้เป็นอย่างดี ธุรกิจรูปเเบบ E-commerce มีหลากหลายรูปเเบบที่เราจะมาพูดถึงกันในวันนี้
ประเภทของ E-commerce
- ธุรกิจผู้ซื้อปลีก หรือ B to C ( Business to Consumer ) คือ ผู้ซื้อปลีกซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์จากผู้ขาย เช่นการสั่ง เครื่องสำอางออนไลน์ ซื้อเสื้อผ้ารองเท้า เป็นต้น
- ธุรกิจกับหน่วยงานรัฐ หรือ B to G ( business to Government ) ในที่นี้ คือธุรกิจระหว่างภาคเอกชนเเละหน่วยงานรัฐบาล เช่น การจดทะเบียนการค้า การรายงานผลประกอบการประจำปี การสืบค้นเครื่องหมายทางการค้า เป็นต้น
- ธุรกิจกับธุรกิจ หรือ B to B ( business to Business ) คือผู้ประกอบการทั้งสองฝ่ายทำการติดต่อตกลงซื้อขายทำธุรกิจกัน โดยเน้นไปที่การค้าเเบบขายส่ง ซึ่งทำการสั่งซื้อผ่านทางอินเตอร์เน็ต
- รัฐบาลกับรัฐบาล หรือ G to G ( Government to Government ) รัฐบาลในที่นี้หมายถึงภาครัฐเเละเอกชน ส่วนใหญ่เป็นการติดต่อเเลกเปลี่ยน ข้อมูลระหว่างกระทรวง
- ผู้บริโภคกับผู้บริโภค หรือ C to C ( Consumer to Consumer ) คือการติดต่อเเลกเปลี่ยนซื้อขายระหว่างผู้บริโภคด้วยกัน ผู้บริโภคในที่นี้หมายถึง บุคคลที่ไม่ได้ประกอบธุรกิจประกาศขายสินค้าของตนเอง เเละผู้บริโภคคนอื่นก็สนใจจะซื้อสินค้า การประกาศขายนี้ส่วนใหญ่ขายผ่านทางอินเตอร์เน็ต ทางเเพรตฟอร์ม Social Media เนื่องจากมีพื้นที่ให้ติดต่อซื้อขายสดวก
- รัฐบาลกับประชาชน หรือ G to C ( Government to Consumer ) คือ การให้บริการจากภาครัฐผ่านสื่อออนไลน์ต่างๆ เช่นการคำนวนเเละเสียภาษีผ่านทางเว็ปไซต์ออนไลน์ การดามโหลดเเบบฟอร์มเพื่อ ลงทะเบียนต่างๆผ่านทางเว็ปไซต์
เเล้วทำไมเราจึงควรมีธุรกิจรูปเเบบ E-commerce ?
นั่นก็เพราะว่าในปัจจุบันชีวิตของเราเเทบทุกย่างก้าวขับเคลื่อนไปพร้อมๆกับการใช้ SocialMedia หรือ Internet ช่องทางต่างๆ ผู้คนสามารถเข้าถึงสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้ง่าย สดวกรวดเร็ว เเละการใช้งาน Internet เเทบจะเป็นอีกหนึ่งกิจวัตรประจำวันของคนเราไปเเล้ว เเละด้วยเหตุนี้ ทำให้หลายๆธุรกิจหันมาทำ E-commerce กันมากขึ้น เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งธุรกิจ E-commerce ยังมีข้อดีหลายด้านด้วยกัน เช่น
- ไม่ต้องพึ่งหน้าร้าน เพราะเราสามารถเเสดงสินค้าได้ผ่านรูป วีดีโอ ผ่านทาง Social Media
- ลดค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงาน สามารถเเสดงข้อมูลสินค้าพร้อมระบบสนทนาอัตโนมัติได้ ทำให้สามารถรองรับลูกค้าที่สนใจได้ตลอด 24 ชม.
- เพิ่มโอกาสในการขาย เพราะว่าร้านค้ามีโอกาสเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างหลากหลาย จึงสามารถค้าขายได้ทั้งภายในประเทศ เเละต่างประเทศ เเละในปัจจุบันระบบขนส่งก็อำนวยความสดวกมากขึ้นด้วย
- ลดค่าใช้จ่ายในการบริหารเเละจัดการ สามารถเหลือต้นทุนเพื่อไปลงทุนทำอย่างอื่นเพิ่มเติมได้ เช่นขยายธุรกิจ เพิ่มสินค้าให้หลากหลายเพื่อให้ธุรกิจของคุณครอบคลุมฐานลูกค้าทุกกลุ่ม หรือนำเงินไปลงทุนกับค่าโฆษณาเพื่อเรียกลูกค้าได้เช่นกัน
- ทำการตลาดได้อย่างเเม่นยำ เเละสามารถวัดผลได้ สามารถใช้เว็ปไซต์หรือ Social Media เก็บข้อมูลลูกค้าเเละผู้เยี่ยมชมได้ เเละเราสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปต่อยอดทำการตลาดออนไลน์ได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งยังมีระบบที่สามารถตรวจสอบประสิทธิภาพได้ ซึ่งต่างจากการโฆษณาเเบบระบบธุรกิจดั่งเดิมที่ ใช้สื่อโฆษณาผ่านทางโทรทัศน์ หรือหนังสือพิมพ์
นอกจากการมีเว็ปไซต์ E-commerce ที่ดีเเล้ว สิ่งที่เราไม่ควรละเลยคือกลยุทธ์ทางการตลาดในการโปรโมทสินค้าทางสื่อออนไลน์ด้วย เพราะเป็นสิ่งที่สำคัญไม่เเพ้กัน เพราะหากว่าธุรกิจของคุณจะดีเเค่ไหน หากไม่มีคนรู้จักเเละ ไม่มีคนเข้าชมเว็ปไซต์ของคุณเลย ขั้นตอนของการขายสินค้าก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ การทำธุจกิจประเภท E-commerce มีประโยชน์หลายๆด้าน โดยหัวใจหลักจะอยู่ที่เว็ปไซต์ขายสินค้าที่สามารถอำนวยความสะดวกต่อเจ้าของธุรกิจเเละลูกค้า บางธุรกิจหรือผู้ที่ยังมีทุนไม่พร้อมก็สามารถใช้สื่อ Social Media ในการขายสินค้าไปก่อนได้เหมือนกัน
“วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า จะได้มาต้องเริ่มที่วันนี้”
“A better tomorrow starts today”