ยิง Ads อย่างไรให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ?
วันนี้เรา Foretoday ขอยกตัวอย่างการยิง Facebook Ads ก่อนละกันนะครับ
อะไรคือสิ่งที่ทำให้โฆษณา Facebook Ads ของคุณเกิดประสิทธิภาพ หรือมีทางไหน ที่ทำให้คุณประหยัดเวลา เเละค่าโฆษณาได้มากขึ้น ? เเล้วอะไรที่ทำให้คุณยิงโฆษณาเเล้วได้ลูกค้าของคุณล่ะ ?
บทความนี้พวกเรา Foretoday จะมาพูดถึง 7 เคล็ดลับในการสร้างประสิทธิภาพโฆษณา Facebook ของคุณให้ก้าวไปอีกขั้น หรือเทียบเท่าได้กับ Agency โฆษณาชั้นนำของไทย เเละสร้างยอดขายที่เติบโตมากขึ้นเเบบที่คุณคาดไม่ถึง
7 เคล็ดลับการยิงโฆษณาออนไลน์
1. การสร้าง Sale Funnel
Sale Funnel คืออะไร ? กลยุทธ์การตลาดที่นำไปสู่การขาย คำว่า Sales Funnel หากแปลเป็นไทยตรงๆ ก็คือ “กรวยการขาย” ซึ่งในกรวยการขาย ก็ถูกแบ่งออกเป็นระดับบน กลาง และล่าง และมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปหลากหลายชื่อ ขึ้นอยู่กับว่าจะเรียกตามทฤษฎีไหน เเบ่งเป็น 3 ระดับ ดังนี้
- Top of the funnel ( TOFU ) – Awareness Stage
ในระดับบนสุดของ Funnel นี้ภารกิจหลักคือ การสร้างการรับรู้ให้กับเเบรนด์ด้วยการกระตุ้นให้ คนเเปลกหน้า หรือกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ได้รับรู้ว่าพวกเขากำลังมีปัญหาที่ต้องได้รับการเเก้ไข หรือความต้องการที่ต้องได้รับการเติมเต็ม ด้วยสินค้า หรือบริการของเรา
- Middle of the funnel ( MOFU ) – Consideration Stage
ระดับกลางของ Funnel ซึ่งภารกิจหลักใน Stage นี้คือการทำให้กลุ่มคนในระดับเเรกที่ผ่านเข้ามารู้จักเรา เข้าใจถึงปัญหา เเละความต้องการของตนเอง เเละมองเห็น เเนวทางในการขจัดปัญหา เเละเติมเต็มความต้องการนั้น ด้วยการทำให้พวกเขาเข้าใจในตัวสินค้า เเละบริการของเรา
- Bottom of the funnel ( BOFU ) – Decision Stage
ส่วนล่างสุดของ Sale Funnel เป็นส่วนที่จะได้เห็นลูกค้ากลุ่มเป้าหมายทำการตัดสินใจที่จะซื้อสินค้า เเละบริการจากเราStage นี้คือการปิดการขาย เเละหน้าที่ของนักการตลาดในจุดนี้ คือการสื่อสารให้กลุ่มเป้าหมาย เข้าใจถึงคุณประโยชน์ของสินค้าเเละบริการ
ความเเตกต่างระหว่าง Google Ads กับ Facebook Ads คือชนิดของ ทราฟฟิกที่เราได้รับ โดยผู้คนที่กดคลิกผ่าน Google Ads มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเกิด Conversion หรือการซื้อสินค้า ในขณะที่ Facebook Ads นั้นยังอยู่ในหมวดที่เราชอบ เเละอาจยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อสินค้าโดยทันที จะทำให้เกิดปัญหาในการทำโฆษณา Facebook ถ้าหากคุณมีงบน้อย รวมถึงคุณคาดหวังInteraction ที่จะก่อให้เกิด Conversion หรือยอดขายตามมา
2. การสร้าง Engagement Funnel
โดย Engagement Funnel นั้นจะใช้ได้ดีก็ต่อเมื่อ คุณได้มี Engagement จากโพสเดิมๆของคุณอยู่ก่อนเเล้ว เเละถ้าคุณมี Content ที่เป็น Video เท่ากับว่าคุณมีความได้เปรียบมากกว่าคู่เเข่งของคุณเเล้ว
ขั้นตอนการทำ Engagement Funnel
ขั้นเเรก ให้คุณสร้าง Campaign : Post Engagement ให้ตั้งค่าเป็นเลือกกลุ่มเป้าหมายเเบบเฉพาะเจาะจง เพราะจุดประสงค์ของการสร้างเเคมเปญคือ การสร้างความสัมพันธ์เบื้องต้นระหว่างคุณกับลูกค้า เเละหลังจากนั้นให้คุณยิงโฆษณาได้เลย
ขั้นที่ 2 สร้าง Campaign : Traffic หรือ Conversion โดยกลุ่มเป้าหมาย Custom Audience โดยเลือกจากคนที่มี Interaction กับเนื้อหาของเพจเรา หรือถ้าหากคุณมี Video ในเเคมเปญก่อนหน้านี้ เลือกกลุ่มเป้าหมายให้เป็น People who have watch at 25% of your video ได้เลย ซึ่ง Traffic ที่เกิดขึ้นนั้นมีโอกาสมากกว่าการทำ เเคมเปญโฆษณาเเบบทั่วไป ในการ Convert Sales
3. ประเมิน Ad Frequency เพื่อประเมินการมองเห็น
Ad frequency คือตัวเลขที่เเสดงถึงจำนวนการเเสดงผลโฆษณาของคุณต่อ User 1 คน กลุ่มเป้าหมายของคุณโอกาสที่จะเห็นโฆษณาของคุณมากกว่า 1 ครั้ง เเต่อย่างไรก็ตามถ้ากลุ่มเป้าหมายเหล่านั้นเห็นโฆษณาของคุณบ่อยเกินไป พวกลูกค้าจะเลิกสนใจโฆษณาของคุณ ส่งผลให้ต้นทุนโฆษณาของคุณสูงยิ่งขึ้น เเละก่อให้เกิดการลดประสิทธิภาพการทำโฆษณา Facebook Ads อีกด้วย
4. เเบ่งงบประมาณโฆษณาตาม Ad Performance
เมื่อคุณเริ่มต้นทำเเคมเปญโฆษณาเเรกไปเเล้ว คุณสามารถทดสอบ Performance ได้โดยเเยก Ad set ออกเป็นกลุ่มเป้าหมายเเต่ละกลุ่ม เพื่อประเมิน Ad Set ที่มี Performance ดีที่สุดก่อนเมื่อเราพบผู้ชนะของเราเเล้วให้เราปิด Ad Set อื่นๆได้เลย
โดยทั่วไปการทดสอบ Winning Performance จะใช้เวลา 2 – 3 วัน โดยระบบของ Facebook Ads จะมีการประเมินเเคมเปญโฆษณาของเรา ที่เรียกว่า Learning Phase Progress เเละเมื่อเราได้ Winning Ad Set มาเเล้ว เพื่อผลการโฆษณาที่ดีขึ้น เราสามารถเพิ่มงบประมาณขึ้นไปอีก 15 – 20 % เพื่อรักษา Performance ในการทำเเคมเปญ
5. สร้างกลุ่มเป้าหมายที่เเคบลงเเละเจาะจงมากขึ้น
การหากลุ่มเป้าหมายที่ใช่นั้นเป็นสิ่งที่เวิร์คที่สุด ในการทำเเคมเปญโฆษณา ซึ่งถ้าหากคุณไม่มั่นใจในการตั้งกลุ่มเป้าหมายละก็ เเนะนำให้ลองใช้ฟังก์ชั่น Facebook Audience Insight เพื่อใช้ในการศึกษากลุ่ม Potential Targeting โดยคุณสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายไปถึงพฤติกรรมต่างๆของผู้ใช้ Facebook ได้เลย
เลือก Ad Placement ที่เหมาะสมกับการเเสดงผล เเน่นอนว่าเมื่อเราสร้างเเคมเปญโฆษณามา 1 อัน เราสามารถเลือก Placement ได้หลายเครื่องมือหรือ Platform ต่างๆ ซึ่งโดยปกติ Facebook จะเลือกให้เราเป็น Automatic Placement มาให้เเล้ว
- Placement บน Instagram นั้นจะมี Engagement Rate ใน Content ประเภทรูปภาพ เเละ Video สูงกว่าใน Placement อื่นๆ 30 – 40 %
- Placement บน Messenger จะเหมาะกับการสร้าง Traffic เเละ Conversion โดยเราสามารถเลือก Messenger Ads ต่างหากในการทำโฆษณาเเคมเปญได้
- Audience Network Placement เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเพิ่ม Conversion Rate เเละการคาดหวัง Sales ที่ลึกกว่า interaction เเบบทั่วๆไป
หรือในบางกรณี การเลือก Placement บนมือถือ นั้นส่งผลให้ Performance ลดต้นทุนค่าโฆษณาลงด้วยเช่นกัน เช่นในกรณี กลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจเฉพาะ โดยเราอาจโฟกัส ไปที่ Mobile Device เเบบ ios หรือ Android Devices ได้ตามความเหมาะสม
6. ให้เราเลือก Bidding Option ที่เหมาะกับ Objective โฆษณาของคุณ
คำเตือน : ขั้นตอนนี้อาจไม่เหมาะสมกับมือใหม่ที่ไม่เคยผ่านการยิง Ads โฆษณามาก่อน กรณีทั่วไปของ Facebook Ads จะรันโฆษณาเเบบ Auction ทั่วไป โดยระบบ Facebook Ads นั้นจะทำการเลือก bid เเละ Performance เอง
อย่างไรก็ตาม Facebook Bidding option เริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้น ในช่วงปีที่ผ่านมา อันดับเเรก คุณต้องระบุให้ชัดเจนว่าคุณใช้ Metric ไหนในการวัดผลโฆษณาของคุณ ซึ่งเเต่ละเเคมเปญโฆษณานั้นจะมีวัตถุประสงค์ที่เเตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าหากคุณทำเเคมเปญโฆษณาเเบบ Conversion คุณสามารถเลือกประเภทของเเคมเปญได้หลากหลาย เช่น Landing Page Views หรือ Link Click ได้ ดังนั้นวิธีการกดปุ่ม Select Optimizing For Clicks Until Facebook Has Sufficient Conversion Data หรือถ้าหากคุณต้องการให้มีคนเข้ามาอ่านบทความบนเว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถเลือกเมนู Optimizing For Engagement ได้
เเละนอกจากนี้ คุณยังสามารถตั้งค่า Bidding ได้ด้วย โดย Facebook ได้ปรับให้มีการตั้งค่า Bidding ไว้ 2 เเบบ คือ
- Lowest Cost : ซึ่งโดยปกติหากเราตั้งค่าเป็น Rage Bidding ระบบโฆษณาของ Facebook จะตั้งค่าเป็น Maximum Bidding ซึ่งอาจทำให้เรามีค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไป ในการทำเเคมเปญโฆษณา ถ้าคุณมีประสบการณ์มากพอที่จะประมาณค่า CPC ,CPE ,CPM ต่างๆได้ คุณจะสามารถลดต้นทุนโฆษณาของ Facebook ได้มาก
- Targeting Cost : ซึ่งจะเป็นการตั้งเเบบ Manual Bidding ที่ CPC ,CPE ,CPM ราคาจะไม่ถูกเเละไม่เเพงเกินกว่าราคาค่า Bid ที่เราตั้งไว้มากมาย กรณีนี้ถูกใช้เพื่อจำกัด Performance อันใดอันหนึ่งบน Facebook Ads
7. ใช้ Content เดิมๆ ในการสร้างเเคมเปญโฆษณาได้
Facebook เป็น Social Media ที่มีฐานผู้ใช้จำนวนมหาศาล อ้างอิงถึง Content ต่างๆ ถ้าหากเรามี Content ที่ได้รับความนิยมไม่ว่าจะ กดไลค์ เเชร์ คอมเมนท์ ที่มีจำนวนมาก นั่นเป็นเรื่องที่ดี เเต่ส่วนมากมักไม่ใช่เเบบนั้น ในหลายๆครั้งที่เราสร้างเเคมเปญโฆษณา เราไม่สามารถที่จะมองเห็น Interaction ที่เกิดขึ้นบนโฆษณาของเราได้เลย จะมีที่เราเห็นได้เเค่ โพสที่อยู่ในเพจ ดังนั้น การโปรโมทโพสต์บนเพจของคุณจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ละเลยไม่ได้ เพราะนอกจาก Performance ที่เราจะนำไปศึกษาเเล้ว ผู้ใช้ Facebook ก็อยากจะเห็นโพสต์ที่คุณชื่นชอบ เพื่อความมั่นใจของตัวเองในการเสพเนื้อหาของ Content จากเพจของคุณ หรือเเม้กระทั่งการซื้อสินค้าจากเพจของคุณเช่นกัน
Facebook เป็นสื่อ Social Media ที่มีการเปลี่ยนเเปลงอยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่ที่ว่า จะเปลี่ยนเเปลงมากหรือน้อย เเละในทางเดียวกัน กลยุทธ์การใช้สื่อเองก็เปลี่ยนเเปลงอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน เเละสิ่งที่สำคัญที่สุด คือการเรียนรู้ การอัพเดทเทคนิคเสมอ รวมถึงการทดสอบโมเดลธุรกิจใหม่ๆ เเละการพัฒนาตัวเเคมเปญโฆษณาของคุณ เเละทักษะของคุณเอง เพราะนักพัฒนาของทาง Facebook ก็ยังคงพัฒนาการใช้งานของ Facebook Ads อยู่เสมอ
“วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า จะได้มาต้องเริ่มที่วันนี้”
“A better tomorrow starts today”