หากพูดถึงนาฬิกาหรู ชื่อแรกที่คนส่วนใหญ่นึกถึงก็คงหนีไม่พ้น Rolex ทั้งที่มีแบรนด์นาฬิกามากมายวางตัวเองไว้เป็นแบรนด์หรูที่เหนือยิ่งขึ้นไปกว่า Rolex มากมายหลายแบรนด์ แต่ทำไมชื่อของ Rolex ถึงพ้องกับคนมีเงินและคนมีความสำเร็จมากมาย วันนี้เรามาดูกันว่า Rolex เขาทำการตลาดยังไงถึงทำให้ตัวเองกลายเป็นแบรนด์นาฬิกาที่ดังที่สุดในโลก
ถ้าของเรามีดี ต้องเล่าให้ถูกเรื่อง บอกให้ถูกคน
Rolex Oyster ถูกเปิดตัวครั้งแรกในปี 1926 พร้อมกับการประกาศตัวว่าเป็นนาฬิกากันน้ำเรือนแรกของโลก แน่นอนว่ามันนวัตกรรมที่น่าทึ่งมากในสมัยนั้น แต่ถ้าจะรอให้คนมาซื้อแล้วบอกต่อกันไปเรื่อย ๆ ก็คงต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าชื่อ Rolex จะดังไปทั่ว คุณ Hans Wilsdorf ผู้ก่อตั้ง Rolex ก็เลยมาพร้อมกับวิธีแสดงถึงความสามารถของนาฬิกาเรือนนี้ได้อย่างแหวกแนว โดยการนำเจ้า Rolex Oyster ไปแขวนไว้ในโหลปลาทองที่มีน้ำอยู่เต็มแถมยังมีปลาว่ายไปมาอยู่ในนั้น ก่อนจะนำไปจัดแสดงไว้ที่หน้าร้านของ Rolex แทบทุกสาขา เพื่อเป็นการบอกลูกค้าทุกคนว่า นาฬิกาของเขากันน้ำได้จริง ด้วยการจัดวางสินค้าแบบแปลกแหวกแนวนี้ ทำให้ชื่อของ Rolex กลายเป็นกระแสบอกกันปากต่อปากอย่างรวดเร็ว จนทำให้ Rolex Oyster กลายเป็นตัวจุดชนวนความดังของแบรนด์นี้ขึ้นมา
ใช้ Influencer ช่วยโปรโมตให้ถูกจุด
Rolex วาง Position ของตัวเองเป็น Tool watch สำหรับมืออาชีพที่พร้อมลุยได้ทุกทีไปได้ทุกงาน โดยวิธีการโปรโมตของ Rolex ในยุคแรกก็คือการเอานาฬิกาของตัวเองไปผูกไว้กับกิจกรรมเอ็กซ์ตรีมท้าทายขีดจำกัดต่าง ๆ เช่น
- Mercedes Gleitze ว่ายน้ำข้ามช่องแคบอังกฤษและขึ้นฝั่งมาพร้อมนาฬิกา Rolex Oyster
- Sir Edmund Hillary ที่ขึ้นยอดเขาเอเวอเรสต์ไปพร้อมกับนาฬิกา Rolex เช่นกัน
- ส่งนาฬิกาของตัวเองติดไปกับเรือดำน้ำลงไปถึงก้นทะเลที่ความลึก 11,000 เมตร
หลังจากนั้น Rolex ก็ค่อย ๆ ยกระดับภาพลักษณ์สู่การเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จ ด้วยการปรากฏบนข้อมือของบุคคลสำคัญ ทั้งนักการเมือง นักกีฬา นักแสดง โดยที่คนเหล่านั้นล้วนเป็นผู้ประสบความสำเร็จในวงการต่าง ๆ ของตัวเอง ทำให้ภาพของ Rolex กลายเป็นนาฬิกาหรูที่ทุกคนโยงเข้าหาความสำเร็จ และคุณภาพชั้นเยี่ยมอย่างไม่รู้ตัว
เข้มงวดกับ Position ของแบรนด์
นอกจากการเป็นที่รู้จักแล้ว ทาง Rolex เองยังให้ความสำคัญกับ Position ของแบรนด์เป็นอย่างมาก และเข้มงวดกับมันจนไม่ยอมปล่อยให้หลุดแม้แต่จุดเดียว ตั้งแต่การควบคุมคุณภาพของร้านตัวแทนจำหน่ายไปจนถึงการตกแต่งร้านและการจัดแสดงนาฬิกา การคุมคุณภาพการผลิตมากกว่าเรื่องจำนวนสินค้าที่ผลิตได้ และเมื่อ Rolex ต้องการจะจับตลาดในระดับราคาที่ต่ำลง ทางแบรนด์ก็เลือกที่จะสร้างแบรนด์ใหม่ขึ้นมาอย่าง Tudor แทนที่จะสร้างไลน์สินค้า Rolex ที่ถูกลงเพื่อเป็นการคงไว้ซึ่งภาพลักษณ์และ Positioning ของแบรนด์
จะเห็นได้เลยว่าการที่ Rolex กลายเป็นแบรนด์นาฬิกาที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั้นเริ่มมาจากการแสดงข้อดีของสินค้าให้ถูกจุด ในวิธีที่คนอยากเห็น และเมื่อสินค้าเริ่มติดตลาดพร้อมกับคุณภาพที่ดีจริง แบรนด์ก็เริ่มดูมีความเข้มข้นในการวาง Positioning ของตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้ตัว Rolex เองกลายเป็นภาพจำของนาฬิกาหรูที่บอกถึงความสำเร็จของคนสวมใส่อย่างที่คนส่วนใหญ่ในโลกคุ้นชินกันจนถึงทุกวันนี้