Social Media ข้อมูลล้นโลก แต่จริงหรือมั่ว? เสี่ยงโดนหลอกได้ง่าย
ในยุคของ Social Media ที่ทุกคนสามารถสร้างและเผยแพร่เนื้อหาได้อย่างง่ายดายเพียงแค่มีสมาร์ตโฟนและอินเทอร์เน็ต ข้อมูลที่ผู้บริโภครับรู้ในแต่ละวันจึงมีปริมาณมหาศาลและมาจากหลากหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็นจากบุคคลทั่วไป ผู้มีอิทธิพลทางความคิด (influencers) นักข่าวพลเมือง หรือแม้แต่จากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถสร้างเนื้อหาได้แบบอัตโนมัติและรวดเร็ว ซึ่งในด้านหนึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ข้อมูลแพร่กระจายได้อย่างกว้างขวางและเสรี แต่ในอีกด้านหนึ่งก็นำมาซึ่งความท้าทายและความเสี่ยงที่ผู้บริโภคต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะความจริงก็คือว่า “ข้อมูลล้น” ไม่ได้หมายความว่า “ข้อมูลที่ถูกต้องหรือเชื่อถือได้” เสมอไป ข้อมูลบางส่วนอาจมีเจตนาแฝงเร้น บิดเบือนข้อเท็จจริง หรือถูกปรุงแต่งเพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาดและอิทธิพลทางสังคม ซึ่งหากไม่มีการวิเคราะห์หรือตรวจสอบอย่างรอบคอบ ผู้บริโภคก็มีแนวโน้มที่จะเชื่อและนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจที่ผิดพลาดได้ง่าย
การรับข้อมูลจำนวนมากโดยไม่มีการกลั่นกรองหรือการตรวจสอบอย่างรอบด้าน ทำให้ผู้บริโภคยุคใหม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงในระดับที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าใจผิดจากข้อมูลที่คลาดเคลื่อน การตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าหรือบริการจากรีวิวปลอม หรือแม้กระทั่งการตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงออนไลน์ที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ทั้งนี้ เนื้อหาที่ดูเหมือนจริง อ้างอิงบุคคลหรือประสบการณ์จริง หรือใช้ภาพประกอบอย่างมืออาชีพสามารถสร้างความเชื่อถือได้ง่าย จนทำให้ผู้บริโภคลดระดับความระมัดระวังลงโดยไม่รู้ตัว ยิ่งไปกว่านั้น การเผยแพร่ข้อมูลในลักษณะไวรัล (viral content) ที่ได้รับการแชร์อย่างรวดเร็วโดยไม่มีการตรวจสอบ ยังช่วยส่งเสริมให้เนื้อหาหลอกลวงมีอิทธิพลในวงกว้างและยากต่อการควบคุม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภคในยุคดิจิทัลตกอยู่ในภาวะที่ต้องใช้วิจารณญาณมากขึ้นกว่าเดิมในการกลั่นกรองและประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่ได้รับ
Social Media รีวิวปลอม ข่าวลวง ทำผู้บริโภคสับสนและตัดสินใจผิด
หลายคนอาจเคยเจอรีวิวผลิตภัณฑ์ที่ดูดีเกินจริงจนชวนให้สงสัย หรือข่าวที่แชร์กันอย่างกว้างขวางในโซเชียลมีเดีย แต่กลับไม่มีแหล่งข้อมูลอ้างอิงที่ชัดเจนหรือหลักฐานสนับสนุนที่น่าเชื่อถือ ปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะเป็นภัยเงียบที่แฝงตัวอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคโดยที่หลายคนไม่ทันระวัง การบริโภคข้อมูลในลักษณะนี้ ทำให้ผู้บริโภคตกอยู่ในภาวะสับสนทางข้อมูล (information disorder) ซึ่งรวมถึงการหลอกลวง การบิดเบือนข้อเท็จจริง หรือแม้แต่การใส่ความคิดเห็นส่วนตัวในลักษณะทำให้เข้าใจผิด จนทำให้ไม่สามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่าอะไรคือข้อเท็จจริง และอะไรคือเนื้อหาที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อหวังผลทางการตลาดหรือการโน้มน้าวใจในเชิงจิตวิทยา เมื่อข้อมูลเหล่านี้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วบนแพลตฟอร์มที่คนเข้าถึงง่าย เช่น Facebook, TikTok หรือ YouTube ก็ยิ่งเสี่ยงที่ผู้บริโภคจำนวนมากจะเชื่อโดยไม่ทันได้ตั้งคำถาม โดยเฉพาะเมื่อเนื้อหานั้นดูสมจริง ใช้ภาษาที่กระตุ้นอารมณ์ หรือได้รับการแชร์จากคนใกล้ตัว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นกลไกที่ทำให้การหลอกลวงดูแนบเนียนและมีพลังโน้มน้าวมากขึ้นอย่างน่าตกใจ
ในบางกรณี ผู้ขายหรือแบรนด์อาจจ้างอินฟลูเอนเซอร์ หรือแม้แต่ผู้ใช้โซเชียลทั่วไปมาโพสต์รีวิวปลอมที่ดูเหมือนมาจากประสบการณ์จริง เพื่อกระตุ้นยอดขายหรือสร้างกระแสให้สินค้าโดยอาศัยความน่าเชื่อถือของบุคคลที่มีผู้ติดตามหรือมีอิทธิพลในโลกออนไลน์ ซึ่งการกระทำเช่นนี้มักจะไม่มีการเปิดเผยอย่างชัดเจนว่ามีสปอนเซอร์ หรือมีผลประโยชน์ทับซ้อนอยู่เบื้องหลัง เช่น การไม่ได้แจ้งว่าผู้รีวิวได้รับสินค้าฟรี ได้ค่าตอบแทน หรือมีความสัมพันธ์ใด ๆ กับแบรนด์ ส่งผลให้ผู้บริโภคหลงเชื่อว่าเป็นความคิดเห็นที่ซื่อสัตย์และเป็นกลาง ทั้งที่จริงแล้วมีการควบคุมเนื้อหาอยู่เบื้องหลัง ความคลุมเครือนี้ทำให้ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยตัดสินใจซื้อสินค้าที่อาจไม่ได้คุณภาพ ไม่ตรงกับความคาดหวัง หรือแม้แต่มีปัญหาในการใช้งานในภายหลัง นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในระบบรีวิวออนไลน์โดยรวม ทำให้แม้แต่รีวิวที่ซื่อสัตย์จริงก็ถูกตั้งข้อสงสัย และกลายเป็นอุปสรรคในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคในระยะยาว
จากผลสำรวจของ Pew Research Center พบว่าเกือบ 60% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตยอมรับว่าพวกเขาเคยเจอข่าวลวง (fake news) บนโซเชียลมีเดียเป็นประจำ โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์มที่เปิดให้ผู้ใช้โพสต์เนื้อหาได้อย่างอิสระ เช่น Facebook, TikTok และ X (เดิมคือ Twitter)
ความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์: เมื่อข้อมูลส่วนตัวถูกแอบใช้
ความเป็นส่วนตัวออนไลน์กลายเป็นประเด็นที่สำคัญมากในยุคดิจิทัล แต่กลับเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยมักมองข้ามหรือไม่ให้ความสำคัญเท่าที่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้งานโซเชียลมีเดียในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์รูปภาพ การแชร์โลเคชัน การตอบแบบสอบถาม หรือแม้แต่การเข้าเว็บไซต์ที่เชื่อมต่อกับบัญชีโซเชียล ผู้ใช้งานอาจเผลอให้ข้อมูลส่วนตัวจำนวนมาก เช่น ชื่อจริง ที่อยู่ปัจจุบัน อีเมล เบอร์โทรศัพท์ หรือแม้แต่พฤติกรรมการบริโภค ความสนใจ และรูปแบบการใช้ชีวิต โดยไม่ได้ตระหนักเลยว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้อาจมีการเก็บ รวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้เพื่อนำไปใช้ในเชิงการตลาด เช่น การยิงโฆษณาแบบเฉพาะเจาะจง หรือการขายข้อมูลให้กับบุคคลที่สาม ยิ่งไปกว่านั้น ความเสี่ยงที่ใหญ่กว่าคือการที่ข้อมูลสำคัญเหล่านี้อาจถูกแฮกหรือรั่วไหลออกไปสู่กลุ่มมิจฉาชีพ ซึ่งอาจนำไปสู่การขโมยข้อมูลตัวตน (identity theft) การหลอกลวงทางออนไลน์ หรือการโจมตีแบบฟิชชิงที่สามารถสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงทั้งทางการเงินและชื่อเสียง
หลายบริษัทใช้เทคโนโลยีติดตามพฤติกรรมผู้ใช้งาน (tracking) ผ่านเครื่องมือต่าง ๆ เช่น คุกกี้ (cookies) ซึ่งเป็นไฟล์ขนาดเล็กที่เว็บไซต์บันทึกไว้ในอุปกรณ์ของผู้ใช้เพื่อเก็บข้อมูลพฤติกรรมการท่องเว็บ การตรวจสอบที่อยู่ IP (IP address) ซึ่งช่วยระบุตำแหน่งและอุปกรณ์ที่ใช้ รวมถึงการวิเคราะห์การคลิกและการเลื่อนหน้าจอ (scrolling behavior) เพื่อเก็บข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความสนใจเฉพาะด้าน ระยะเวลาในการเยี่ยมชมแต่ละหน้าเว็บไซต์ และแม้กระทั่งพฤติกรรมข้ามแพลตฟอร์มหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ในการสร้างโฆษณาแบบเฉพาะเจาะจง (targeted ads) ที่เหมาะสมกับผู้ใช้แต่ละราย หรือเสนอโปรโมชั่นพิเศษที่ออกแบบมาเฉพาะบุคคลเพื่อเพิ่มโอกาสในการซื้อสินค้าและบริการ แม้ว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยให้การตลาดมีประสิทธิภาพสูงขึ้นและสร้างประสบการณ์ที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น แต่ก็ทำให้เกิดคำถามและความกังวลในด้านจริยธรรม ความโปร่งใส และการรักษาความเป็นส่วนตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ใช้งานไม่ทราบว่าข้อมูลของตนถูกเก็บและนำไปใช้อย่างไร หรือไม่ได้ให้ความยินยอมอย่างชัดเจนในการให้ข้อมูลเหล่านี้ นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่ข้อมูลส่วนตัวอาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การขายข้อมูลให้กับบุคคลที่สามโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการถูกแฮกข้อมูลจนเกิดการรั่วไหล ซึ่งส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในระยะยาว ประเด็นเรื่องความโปร่งใสในการเก็บและใช้ข้อมูลจึงเป็นสิ่งที่บริษัทต่าง ๆ ควรให้ความสำคัญ และควรมีนโยบายที่ชัดเจนในการแจ้งให้ผู้ใช้ทราบถึงการเก็บรวบรวมข้อมูล พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานสามารถควบคุมหรือปฏิเสธการติดตามข้อมูลได้ตามความต้องการของตนเอง เพื่อสร้างความไว้วางใจและรักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลมีความสำคัญอย่างยิ่งในทุกขั้นตอนของการตลาดและการบริโภคข้อมูลออนไลน์
จากรายงานของ NortonLifeLock ในปี 2024 ระบุว่า 72% ของผู้บริโภคทั่วโลกรู้สึกไม่มั่นใจว่าข้อมูลส่วนตัวของตนจะปลอดภัยเมื่อใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยเฉพาะในประเทศที่ยังไม่มีการออกกฎหมายควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอย่างจริงจัง
รู้ทันกลยุทธ์การตลาดในโซเชียล เพื่อไม่ให้เป็นเหยื่อ
นักการตลาดดิจิทัลในยุคนี้ใช้เครื่องมือและเทคนิคหลากหลายอย่างซับซ้อนเพื่อเข้าถึงและเชื่อมโยงกับผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการนำเทคโนโลยีการวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมผู้ใช้ (behavioral analytics) มาใช้ในการเก็บข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความสนใจ รูปแบบการบริโภคเนื้อหา และเส้นทางการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการของลูกค้า นอกจากนี้ยังใช้กลยุทธ์รีมาร์เก็ตติ้ง (remarketing) ที่ช่วยให้สามารถส่งข้อความหรือโฆษณาที่ตรงกับความต้องการเฉพาะบุคคลไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เคยแสดงความสนใจในสินค้าหรือบริการมาก่อนหน้านี้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย นักการตลาดยังให้ความสำคัญกับการสร้างคอนเทนต์เชิงอารมณ์ที่กระตุ้นความรู้สึกและสร้างการเชื่อมโยงกับผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง โดยเนื้อหาที่มีการเล่าเรื่องราว หรือสื่อสารคุณค่าและความหมายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของกลุ่มเป้าหมาย จะช่วยสร้างความประทับใจและทำให้แบรนด์เป็นที่จดจำได้ดีขึ้น อีกทั้งยังมีการใช้ผู้มีอิทธิพลในโลกออนไลน์ (Key Opinion Leaders หรือ KOLs) และกลุ่มผู้มีอิทธิพลขนาดเล็ก (micro-influencers) ที่มีความใกล้ชิดและความน่าเชื่อถือในกลุ่มผู้ติดตาม เพื่อส่งเสริมการรับรู้แบรนด์และกระตุ้นการตัดสินใจซื้ออย่างเป็นธรรมชาติและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะผู้ติดตามมักเชื่อมั่นและรับฟังคำแนะนำจากคนเหล่านี้มากกว่าการโฆษณาแบบตรง ๆ รวมถึงการใช้เครื่องมือการตลาดดิจิทัลอื่น ๆ เช่น การทำ SEO เพื่อเพิ่มการมองเห็นในเครื่องมือค้นหา การใช้โซเชียลมีเดียมาร์เก็ตติ้งในการสร้างชุมชนและความสัมพันธ์กับลูกค้า และการวิเคราะห์ข้อมูลผลตอบรับจากแคมเปญต่าง ๆ เพื่อปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง ทำให้นักการตลาดยุคนี้สามารถสร้างประสบการณ์การตลาดที่เจาะลึก ตรงเป้าหมาย และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกดิจิทัลในปัจจุบัน
สรุป
เมื่อความเสี่ยงของผู้บริโภคในยุค Social Media มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การมีความรู้ ความเข้าใจ และการตั้งคำถามกับข้อมูลที่ได้รับคือสิ่งจำเป็นที่สุด เพื่อปกป้องตนเองจากภัยไซเบอร์และการหลอกลวงทางการตลาดที่แอบแฝงอย่างแนบเนียน Foretoday ในฐานะผู้นำด้านการตลาดดิจิทัลและการวิเคราะห์ข้อมูลผู้บริโภค มีบริการที่ช่วยให้แบรนด์และผู้บริโภคเข้าใจพฤติกรรมบนโซเชียลมีเดียได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์เทรนด์ ค้นหากลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง หรือสร้างกลยุทธ์การตลาดที่โปร่งใสและยั่งยืน หากคุณคือแบรนด์หรือธุรกิจที่ต้องการความเข้าใจในโลกดิจิทัลอย่างแท้จริง Foretoday คือพาร์ตเนอร์ที่ไว้วางใจได้
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://foretoday.asia/