google keyword planner คือ

Google Keyword Planner วิธีใช้หาคีย์เวิร์ดทำเงิน อัปเดต 2025

ค้นหาคีย์เวิร์ดทำเงิน ดันเว็บไซต์ติดอันดับ 1 Google!

คุณกำลังเผชิญกับปัญหาเว็บไซต์มีคนเข้าชม (Traffic) น้อย และไม่รู้จะเริ่มต้นวิจัยคีย์เวิร์ดอย่างไรให้ “ปัง” ใช่หรือไม่?

Table of Contents

ถ้าคำตอบคือ “ใช่” บทความนี้ถูกออกแบบมาเพื่อคุณโดยเฉพาะ! เราเข้าใจดีว่าคีย์เวิร์ดคือหัวใจสำคัญของการตลาดดิจิทัลทั้งหมด และเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดที่คุณต้องมีไว้ในคลังแสงก็คือ Google Keyword Planner

เครื่องมือฟรีตัวนี้ไม่ได้เป็นแค่ที่สำหรับหาคำที่คุณอยากติดอันดับเท่านั้น แต่ยังเป็นเหมือน “แผนที่ขุมทรัพย์” ที่เผยให้เห็นว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณกำลังค้นหาอะไรอยู่ พฤติกรรมของพวกเขาเป็นอย่างไร และคู่แข่งของคุณกำลังลงทุนไปกับคำไหนบ้าง

Google Keyword Planner คืออะไร?

Google Keyword Planner คือเครื่องมือวิจัยคีย์เวิร์ด (Keyword Research Tool) ฟรี ที่พัฒนาโดย Google และเป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์ม Google Ads (เดิมคือ Google AdWords)

แม้ว่าชื่อของมันจะฟังดูเหมือนมีไว้สำหรับนักโฆษณา (PPC: Pay-Per-Click) เท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันคือเครื่องมือที่จำเป็นและมีคุณค่าอย่างมหาศาลสำหรับนักทำ SEO และนักการตลาด Content ทุกคน

สรุปความสำคัญของ Keyword Planner

องค์ประกอบคำอธิบายความสำคัญต่อ SEO/Content Marketing
แหล่งข้อมูลมาจากฐานข้อมูลการค้นหาจริงของ Google โดยตรงให้ข้อมูลที่แม่นยำและน่าเชื่อถือที่สุดในตลาด
สิ่งที่ทำได้ค้นหาไอเดียคีย์เวิร์ดใหม่, ดูปริมาณการค้นหา (Search Volume), ดูการแข่งขัน และราคาประมูล (Bid)ช่วยให้ตัดสินใจได้ว่าจะทำ Content เกี่ยวกับเรื่องอะไร เพื่อให้คนค้นเจอได้ง่ายที่สุด
ค่าใช้จ่ายฟรี สำหรับทุกคนที่มีบัญชี Googleสามารถใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ

ประโยชน์หลักที่นัก SEO ได้รับจาก Keyword Planner

  • ค้นพบไอเดียใหม่ ๆ: ช่วยให้คุณพบคำหลักที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณแต่คุณอาจไม่เคยนึกถึงมาก่อน
  • ประเมินศักยภาพ: ทราบว่าคำนั้น ๆ มีคนค้นหามากน้อยแค่ไหนในแต่ละเดือน (Search Volume)
  • วิเคราะห์การแข่งขัน: ดูว่าคีย์เวิร์ดนั้นมีการแข่งขันสูงหรือไม่ (Competitive Analysis) ซึ่งช่วยในการตัดสินใจเลือกคำที่สามารถเอาชนะคู่แข่งได้ง่ายขึ้น
  • วางแผน Content: ช่วยให้คุณจัดกลุ่มคีย์เวิร์ดและสร้าง Topic Cluster เพื่อครอบคลุมเนื้อหาในหัวข้อนั้น ๆ ได้อย่างสมบูรณ์

Google Keyword Planner วิธีใช้งานอย่างละเอียด

การเข้าถึงและการใช้งาน Keyword Planner นั้นไม่ซับซ้อน แต่มีรายละเอียดเล็กน้อยที่คุณควรรู้เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

1. การเข้าถึงและการตั้งค่าเริ่มต้น

  1. เข้าสู่ระบบ Google Ads: ไปที่เว็บไซต์ Google Ads และลงชื่อเข้าใช้ด้วยบัญชี Google ของคุณ หากคุณไม่เคยใช้งานโฆษณามาก่อน คุณอาจต้องตั้งค่าบัญชีโฆษณาเบื้องต้น แต่คุณไม่จำเป็นต้องเปิดแคมเปญโฆษณาเพื่อใช้ Keyword Planner
  2. ค้นหาเครื่องมือ: เมื่อเข้าสู่หน้าแดชบอร์ดแล้ว ให้มองหาไอคอน “ประแจ” (Tools & Settings) ที่มุมขวาบนของหน้าจอ
  3. เลือก Keyword Planner: ใต้เมนู Planning ให้คลิกที่ “Keyword Planner”

2. ฟังก์ชันหลัก: การค้นหาคีย์เวิร์ด

คุณจะพบกับ 2 ตัวเลือกหลักในการใช้งาน

2.1. Discover New Keywords (ค้นหาคีย์เวิร์ดใหม่)

ฟังก์ชันนี้ใช้เมื่อคุณต้องการ ไอเดียใหม่ ๆ หรือกำลังเริ่มต้นวิจัยหัวข้อใหม่ คุณสามารถใส่คีย์เวิร์ดหลัก, ประโยค, หรือแม้แต่ URL ของเว็บไซต์คู่แข่ง ลงไปได้

  • การปฏิบัติ: ใส่คำหลักที่คุณสนใจ (เช่น keyword planner หรือ longtail keyword คือ) และกด Get Results
  • ผลลัพธ์ที่ได้: เครื่องมือจะแสดงรายการคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก พร้อมข้อมูลสำคัญต่าง ๆ

2.2. Get Search Volume and Forecasts (ดูปริมาณการค้นหาและพยากรณ์)

ฟังก์ชันนี้ใช้เมื่อคุณ มีรายการคีย์เวิร์ดอยู่ในมือแล้ว และต้องการตรวจสอบปริมาณการค้นหาอย่างรวดเร็ว (สูงสุด 10,000 คีย์เวิร์ดในครั้งเดียว)

  • การปฏิบัติ: คัดลอกรายการคีย์เวิร์ดของคุณมาวาง และกด Get Results
  • ผลลัพธ์ที่ได้: จะแสดงสถิติการค้นหาของคำที่คุณป้อนเข้าไปเท่านั้น

3. การปรับแต่งผลลัพธ์ให้แม่นยำ

ก่อนที่จะดำดิ่งลงไปในข้อมูล คุณต้องมั่นใจว่าการตั้งค่านั้นถูกต้อง

  • ตำแหน่ง (Location): กำหนดเป้าหมายประเทศหรือภูมิภาคที่กลุ่มเป้าหมายของคุณอยู่ (เช่น Thailand)
  • ภาษา (Language): เลือกภาษาที่เกี่ยวข้องกับ Content ของคุณ (เช่น Thai)
  • ช่วงเวลา (Date Range): โดยทั่วไปควรเลือก Last 12 Months เพื่อดูแนวโน้มตลอดปี

4. การวิเคราะห์ข้อมูลสำคัญที่ Keyword Planner มอบให้

ผลลัพธ์ของ Keyword Planner ประกอบด้วย 4 คอลัมน์หลักที่คุณต้องทำความเข้าใจ

ข้อมูลคำอธิบายความสำคัญต่อการตัดสินใจ
Avg. Monthly Searchesค่าเฉลี่ยของปริมาณการค้นหาคำหลักนั้น ๆ ต่อเดือน (เป็นช่วง เช่น 1K – 10K)ตัวชี้วัด Traffic Potential ยิ่งสูงยิ่งดี แต่คู่แข่งก็สูงตาม
Competitionระดับการแข่งขันในเชิงโฆษณา (Low, Medium, High)ไม่ใช่ตัวชี้วัด SEO โดยตรง แต่ใช้เป็นสัญญาณได้ว่าคำนั้น ๆ มีมูลค่าเชิงพาณิชย์สูงหรือไม่
Top of Page Bid (Low Range)ราคาประมูลต่ำสุดของโฆษณาที่อยู่ด้านบนของหน้าตัวบ่งชี้ถึง Commercial Intent ยิ่งราคาสูง ยิ่งหมายถึงคำนั้นนำไปสู่การซื้อขายจริง
Top of Page Bid (High Range)ราคาประมูลสูงสุดของโฆษณาที่อยู่ด้านบนของหน้าใช้ร่วมกับ Low Range เพื่อประเมินมูลค่าของคีย์เวิร์ด

5. การจัดกลุ่มและการนำไปใช้ (Grouping & Exporting)

  • Keyword Grouping: ใช้ฟังก์ชัน Grouped Ideas ทางซ้ายมือเพื่อดูว่า Google จัดกลุ่มคีย์เวิร์ดใดไว้ด้วยกันบ้าง นี่คือวิธีที่ดีเยี่ยมในการวางแผนทำ Content ในรูปแบบ Topic Clusters
  • Export: เมื่อได้ชุดคีย์เวิร์ดที่ต้องการแล้ว ให้กดปุ่ม Download Keyword Ideas เพื่อส่งออกข้อมูลเป็นไฟล์ Excel หรือ CSV เพื่อนำไปใช้ต่อในขั้นตอนการวางแผน Content

เทคนิคการหาคีย์เวิร์ดทำเงินด้วย Keyword Planner

การเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมไม่ใช่แค่การเลือกคำที่มี Search Volume สูง ๆ เท่านั้น แต่คือการหา “จุดตัด” ระหว่าง ปริมาณการค้นหา กับ ความสามารถในการแข่งขัน และ เจตนาของผู้ค้นหา (Search Intent)

1. การค้นหา Longtail Keyword คือกุญแจสู่ชัยชนะ

คำว่า longtail keyword คือคำหลักที่ประกอบด้วย 3 คำขึ้นไป มีความจำเพาะเจาะจงสูง (Specific) และมักมีปริมาณการค้นหาต่อเดือนไม่สูงมาก (เช่น 10-100 หรือ 100-1K)

  • ทำไมต้อง Longtail Keyword?
    • การแข่งขันต่ำ (Low Competition): เว็บไซต์ใหม่หรือเว็บที่มี Authority น้อยสามารถติดอันดับได้ง่ายกว่า
    • Conversion สูง: ผู้ที่ค้นหาด้วย Longtail Keyword มักจะมีเจตนาที่ชัดเจนและอยู่ใกล้ขั้นตอนการซื้อ (เช่น รองเท้าวิ่งผู้ชายราคาถูกยี่ห้อไหนดี, บริการทำ SEO ราคาเริ่มต้น)
  • วิธีใช้ Keyword Planner หา Longtail:
    1. ใส่คีย์เวิร์ดหลักของคุณ (เช่น ลดน้ำหนัก)
    2. กรองผลลัพธ์โดยใช้ “Keyword filters” และเลือก “Avg. monthly searches” ให้แสดงแค่ช่วงต่ำ ๆ (เช่น 100 – 1K)
    3. มองหาคำที่มีความยาวและเป็นประโยคคำถาม (เช่น วิธีลดน้ำหนักเร่งด่วน 7 วัน, อาหารเสริมลดน้ำหนักปลอดภัย มี อย.)

2. การวิเคราะห์เจตนา (Search Intent)

Search Intent คือสิ่งที่ผู้ค้นหาต้องการบรรลุเมื่อพิมพ์คีย์เวิร์ดนั้น ๆ ลงไปใน Google การเข้าใจสิ่งนี้สำคัญกว่าตัวเลข Search Volume เสียอีก แบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก

  • Informational (ต้องการข้อมูล): ต้องการเรียนรู้หรือหาคำตอบ (เช่น keyword planner คือ, longtail keyword คือ) ควรทำบทความ, คู่มือ, FAQ
  • Navigational (ต้องการนำทาง): ต้องการไปที่เว็บไซต์ใดเว็บไซต์หนึ่ง (เช่น Facebook เข้าสู่ระบบ) ไม่ควรทำ Content เพราะแข่งไม่ได้
  • Commercial Investigation (ต้องการเปรียบเทียบ): ต้องการข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อ (เช่น เปรียบเทียบ Samsung S24 vs iPhone 15, รีวิวกล้อง Sony A6700) ควรทำรีวิว, บทความเปรียบเทียบ, Checklists
  • Transactional (ต้องการทำธุรกรรม/ซื้อ): ต้องการซื้อทันที (เช่น ซื้อเสื้อยืดราคาถูก, โค้ดส่วนลด Agoda) ควรทำหน้าสินค้า/บริการ (Product Page), Landing Page

การประยุกต์ใช้กับ Keyword Planner

คีย์เวิร์ดที่มี Top of page bid สูง ๆ มักจะเป็นคีย์เวิร์ดประเภท Transactional หรือ Commercial Investigation ซึ่งเป็นคีย์เวิร์ดทำเงินโดยตรง

3. การใช้ Negative Keywords (คีย์เวิร์ดเชิงลบ)

แม้ว่าจะเป็นฟีเจอร์สำหรับ Google Ads แต่ก็มีประโยชน์ในการวางแผน Content โดยการกรองคำที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป เช่น หากคุณขายรถยนต์มือสอง คุณอาจต้องการกรองคำว่า รถยนต์ใหม่, รถยนต์ไฟฟ้า ออก เพื่อให้คีย์เวิร์ดที่เหลือมีความเฉพาะเจาะจงกับธุรกิจของคุณมากขึ้น

องค์ประกอบสำคัญของบทความ SEO ที่ติดอันดับ

เพื่อให้บทความนี้มีโอกาสเอาชนะคู่แข่งได้ เราต้องสร้างสรรค์ Content ที่มีความลึกและครบถ้วนกว่า (Comprehensive Content)

1. โครงสร้างและการจัดระเบียบ

องค์ประกอบสิ่งที่คุณควรมีในบทความ
Introductionมีคีย์เวิร์ดหลัก (keyword planner) ภายใน 100 คำแรก, ระบุ Pain Point
หัวข้อหลัก (H2)Google Keyword Planner คือ อะไร? (คำอธิบาย), Google Keyword Planner วิธีใช้ (ขั้นตอน How-to), เทคนิคการหาคีย์เวิร์ดทำเงิน (Advanced Strategies)
หัวข้อรอง (H3)แบ่งย่อยขั้นตอน, อธิบายองค์ประกอบของตารางผลลัพธ์, อธิบาย longtail keyword คือ
Visual Aidsใช้ ตาราง เพื่อเปรียบเทียบข้อมูล, ใช้ Bullet Points เพื่อสรุปข้อความสำคัญ
ความยาวต้องยาวเกิน 1,200 คำ เพื่อส่งสัญญาณ “ความลึกของเนื้อหา” ให้ Google ทราบ

2. การแทรกคีย์เวิร์ดตามธรรมชาติ (LSI Keywords)

คุณต้องแทรกคำที่เกี่ยวข้องตามธรรมชาติ ไม่ใช่แค่ยัดคำหลักซ้ำ ๆ LSI Keywords (Latent Semantic Indexing) คือคำที่ Google คาดหวังว่าจะเจอในบทความเรื่องนั้น ๆ

  • ตัวอย่าง LSI Keywords ที่เกี่ยวข้องกับ “Keyword Planner”
    • Google Ads
    • Search Volume
    • Longtail Keyword
    • SEO Tool
    • CPC (Cost Per Click)
    • Search Intent
    • Competitive Analysis
    • Topic Cluster

3. การตอบโจทย์ Search Intent อย่างสมบูรณ์

บทความของคุณต้องตอบคำถามทั้งหมดที่ผู้ค้นหาสามารถพิมพ์มาได้ ตัวอย่างเช่น

  • Informational Intent: ตอบด้วยหัวข้อ Google Keyword Planner คืออะไร, ประโยชน์คืออะไร
  • How-to Intent: ตอบด้วยหัวข้อ Google Keyword Planner วิธีใช้ งาน (5 ขั้นตอนปฏิบัติ)
  • Commercial/Comparison Intent: เพิ่มส่วนเปรียบเทียบเล็กน้อย เช่น “Keyword Planner แตกต่างจาก Ahrefs/SEMRush อย่างไร (ข้อดีคือฟรี และมาจาก Google โดยตรง)”

4. การอัปเดตข้อมูล

บทความที่ดีควรมีข้อมูลที่ทันสมัย (Freshness) เนื่องจากเครื่องมือมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การระบุปีใน Meta Title/Content (เช่น อัปเดต 2025) ช่วยให้ Google รู้ว่าบทความของคุณไม่ล้าสมัย

ใช้ Keyword Planner เป็น “เข็มทิศ” นำทาง Content

Google Keyword Planner ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือฟรี แต่เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด ได้รับข้อมูลเชิงลึกที่ไม่มีเครื่องมืออื่นใดให้ได้เพราะเป็นข้อมูลที่มาจากผู้ค้นหาจริงของ Google โดยตรง

  • การเลือกคีย์เวิร์ดที่ดีคือการหาจุดสมดุลระหว่าง ปริมาณการค้นหา (Volume), ความเกี่ยวข้อง (Relevance), และ ความสามารถในการแข่งขัน (Competition) และอย่าละเลยพลังของ longtail keyword ที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณสามารถสร้าง Traffic และ Conversion ได้อย่างรวดเร็ว