ปัญหาของการยิงคอนเท้นต์โฆษณาสุดปังคือหลังจากที่แอดมินตอบไปแล้ว ลูกค้าอ่านไม่ตอบ ลูกค้าทักมาแล้วหาย หรือยิ่งไปกว่านั้นคือไม่เข้ามาอ่านด้วยซ้ำ ! แล้วแบบนี้เงินที่เราลงทุนไปก็หายไปฟรีๆน่ะสิ ทำยังไงดี!
ยิงโฆษณาใน Facebook ลูกค้าทักแล้วหาย?
Facebook เป็นหนึ่งใน platform ที่มีคนมากมายใช้ ทั้งเสพสื่อและยิงโฆษณา ซึ่งหนึ่งในปัญหาที่ทุกคนเจอ ก็คือการยิงคอนเท้นต์โฆษณาสุดปัง มีคนมากมายทักเข้ามา ไม่ว่าจะพิมพ์มาว่าสนใจ , ตอบ instant message เรา, หรือส่งข้อความมาถามราคา แต่หลังจากที่แอดมินตอบไปแล้ว อ่านไม่ตอบ ลูกค้าทักมาแล้วหาย หรือยิ่งไปกว่านั้นคือไม่เข้ามาอ่านด้วยซ้ำ ! แล้วแบบนี้เงินที่เราลงทุนไปก็หายไปฟรีๆน่ะสิ ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในปัญหาที่แมสมากในการทำการตลาดออนไลน์ในหลายๆแพลตฟอร์ม
สาเหตุของการหายไปของลูกค้า
การที่ลูกค้าทักเข้ามาแล้วหายไปเลย ไม่มา follow up กับเรา จริงๆแล้วการกระทำนี้เรียกได้ว่า “แชทผี” ซึ่งแน่นอนว่าสาเหตุของแชทผีนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเราไปล่าท้าผีในที่ต่างๆ แต่มันเป็นเพราะ เรายิงโฆษณาไปไม่ตรงกลุ่มเป้าหมายตั้งหากล่ะ
กลุ่มเป้าหมายสามารถแยกได้เป็นสองแบบหลักๆ :
- ลูกค้าที่เห็นโฆษณาเราแล้วทักมาแต่หายไป (แชทผี)
- ลูกค้าที่ทักเข้ามาแล้วตรงกลุ่ม และปิดการขายได้ (ลูกค้าคุณภาพ)
แน่นอนว่ามันเป็นไปได้ยากมากที่เราจะสามารถเล็งได้แม่นยำตรงเป้าสุดๆตั้งแต่กระสุนนัดแรกของเรา แต่การ tracking และดูที่มาที่ไปว่าลูกค้าแบบนี้มาจาก :
- Campaign ไหน
- Ad set อะไร
- Ad id อะไร
ซึ่งสามสิ่งนี้เป็นหัวใจหลักเลยเพื่อให้เราเห็นจุดบอดและแยกได้ว่า คนที่เข้ามากลุ่มนี้มาจากที่ไหน
แล้วทำยังไงล่ะ ? เพื่อให้หาคนกลุ่มเหล่านี้เจอ
ในเมื่อลูกค้าทักมาแล้วหาย Metric แรกที่เราควรดูเลยคือ “Cost per Message” หรือราคาที่เราต้องจ่ายโดยเฉลี่ยต่อหนึ่งข้อความที่มีคนทักเข้ามาหาเรา ซึ่ง metric นี้สามารถเป็น filter แรกในการเลือก campaign หรือ ad set ที่มีคุณภาพได้ยิ่ง Cost per message ต่ำ นั่นหมายความว่ากับงบประมาณที่เท่ากัน เราสามารถใช้เงินนั้นมาสร้างการทักได้เพิ่มมากขึ้น ยิ่งมีข้อความมากขึ้น นั่นก็หมายความว่าโอกาสในการปิดการขายก็ยิ่งมากขึ้น…รึเปล่านะ? แน่นอนว่าหลักการง่ายๆเบสิคแบบนี้เวร์คนะ แต่เมื่อ 5-7 ปีมาแล้ว ในยุคนี้แค่ metric เดียวมันไม่ได้แล้วครับ
แน่นอนว่าการดู Cost per message ก็เป็น metric ที่เรายังคงต้องดูอยู่นะ แต่มันจะมี metric เพิ่มเติมที่เราต้องดูควบคู่กันไปด้วย เพราะเราดูจาก metric ไม่ได้นะว่า cost per message เท่านี้ เป็น message ที่ปิดการขายได้หรือไม่ เป็นคำสั่งซื้อที่ใหญ่หรือเล็กซึ่งนี่แหละ คือปัจจัยหลักของเรา
อย่าแรกที่เราควรทำเลยคือการ แยก ad set ซึ่งคุณอาจจะสงสัยแล้วสินะว่า ถ้าเราจะไปเน้นที่เจาะกลุ่มเป้าหมายที่แม่นยำ ทำไมเราถึงต้องแยกหลายๆกลุ่มเป้าหมาย คำตอบของคำถามที่ดีนี้ก็คือ “การเปรียบเทียบ” ครับ เพราะถ้าเรารันแค่ ad set หรือกลุ่มเป้าหมายเดียวแล้วมันตุ้บหรือไม่เวิร์ค เราจะไม่มีแพลนบีหรือทางออกเลยและเราจะเสียเงินไปทั้งหมดแบบฟรีๆ ถ้าเรารัน campaign เดียวหลาย ad set เราจะรู้เลยว่ากับโฆษณาเดียวกัน รันพร้อมกัน งบประมาณเท่ากัน เราจะเห็นได้เลยว่า ad set ไหนเวิร์คไม่เวิร์ค
ส่วน metric ที่ควรดูควบคู่ไปกับ cost per message ก็คือ… ROAS (Return On Ad Spend) ยังไงล่ะ
ROAS คืออะไร ?
ROAS ถ้าอธิบายง่ายๆก็คือ ใช้เงินไปเท่าไหร่ในงบโฆษณา เราจะได้เงินคืนมากี่เท่า เช่น ถ้า Amount Spend คือ 100 บาท แล้ว ROAS อยู่ที่ 5 , เท่ากับว่า ยอดขายที่เราได้มาจาก 100 บาทนี้ก็คือ 500 บาทนั่นเอง ซึ่งเราควรเทียบกันแบบนี้
Ad set | Cost per Message | Amount Spend | Purchase conversion value | ROAS (Return on ad spend) |
Ad set #1 | ฿ 320.00 | ฿ 100,000 | ฿ 7,000,000 | 70 |
Ad set #2 | ฿ 290.00 | ฿ 80,000 | ฿ 4,720,000 | 59 |
Ad set #3 | ฿ 220.00 | ฿ 75,000 | ฿ 66,750 | 0.89 |
ตามตัวอย่างข้างต้นสามารถเห็นได้ชัดเลยว่า ตัว ad set ที่ 3 ได้ cost per message ที่ถูกกว่า ad set อื่นๆแต่ไม่สามารถ generate ยอดขายได้ ad set สองตัวข้างต้น
รู้แล้วยังไงต่อล่ะ ?
หลังจากที่คุณรู้แล้วว่า ad set ไหนดีหรือไม่ดี สร้างยอดขายได้หรือไม่ คุณก็จะสามารถรู้ได้ว่า โฆษณา (สื่อ) แบบไหนดีต่อกลุ่มเป้าหมายแบบไหน กลุ่มเป้าหมายกลุ่มนี้ ตัวโฆษณาแบบวิดีโอเวิร์ค กลุ่มเป้าหมายกลุ่มนี้ ตัวโฆษณาแบบภาพนิ่งหรืออัลบั้มเวิร์ค ซึ่งพอเรามีการ test แบบนี้แล้วหาคำตอบได้ เราจะเข้าใกล้กลุ่มเป้าหมายเรามากขึ้นว่าเทสเขาชอบเสพสื่อของเราแบบไหน และคุณจะไม่ปาลูกดอกไปที่เป้าแล้วต้องหวังให้มันโดน bulls-eye ที่อันกระจิ๊ดริด คุณจะสามารถขยาย bulls-eye นั้นให้มันใหญ่ขึ้นและต่อจากนี้ การปาลูกดอกของคุณจะง่ายขึ้นเพราะคุณจะปิดกลุ่มเป้าหมายที่ไม่ใช่ ที่ไม่เป็นพื้นที่ไร้แต้มออกไป อาการลูกค้าทักมาแล้วหาย ก็จะหายไป
สรุป
จะเห็นได้ว่าวิธีการแก้ปัญหาแชทไม่ได้คุณภาพมีวิธีแก้ไม่ยาก เพียงแค่ต้องหาสาเหตุมาจากหลายๆ องค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็น ad set หรือ creative ในส่วนของ ad ก็มีผลต่อการเลือก optimize อย่างมาก รวมทั้งการดูที่ metric cost per message และ roas เพื่อเลือกกลุ่ม ad set ที่มีประสิทธิภาพที่ดีที่สุด องค์ประกอบต่างๆ เหล่านี้เราจะต้องมาดูและวิเคราะห์ร่วมกันแล้วจะเจอทางออกที่ดีที่สุด เพื่อให้โฆษณาเกิดประสิทธิภาพสูงสุดและไม่เสียเงินไปฟรีๆ กับเหล่าแชทผี เพราะฉะนั้นเวลาที่เรายิงโฆษณาควรมีมากกว่า 1 ad set และ ad เพื่อไว้เปรียบเทียบและหาตัวที่ดีที่สุด และเพิ่มทางออกเมื่อเกิดปัญหา ad set หรือ ad 1 ตัวที่ใช้อยู่ได้ผลลัพธ์ที่ไม่ได้ตามเป้าหมายที่ต้องการนั่นเอง
หากสนใจปรึกษาเรื่องการตลาดออนไลน์หรือรันโฆษณาออนไลน์ก็สามารถติดต่อเราได้ที่
Line@: bit.ly/ForeToday
FB Chat: http://m.me/foretoday
อ่านบทความอื่น ๆ ของเราเพิ่มเติม: https://foretoday.asia/articles/
“A better tomorrow starts today”