Ban Tad Thong คนหายเพราะร้านเดิม หรือเทรนด์เปลี่ยนเร็วกว่าคิด

Ban Tad Thong: คนหายเพราะร้านเดิม หรือเทรนด์เปลี่ยนเร็วกว่าคิด?

Ban Tad Thong ไม่เหงา…แต่คนเริ่มหายไปไหนกันหมด?

          ถ้าย้อนกลับไปไม่เกิน 3-4 ปีที่ผ่านมา ชื่อของ “Ban Tad Thong” คือคำตอบแรก ๆ ของเหล่า สายกิน สายรีวิว และสายแชะที่มองหาสถานที่นั่งชิล ถ่ายรูปสวย และลิ้มรสอาหารสตรีทฟู้ดหลากสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นร้านหมาล่าสุดจี๊ด ร้านเด็ดเมนูปิ้งย่างเกาหลีราคานักศึกษา ไปจนถึงคาเฟ่ฮิปสเตอร์ที่ผุดขึ้นราวกับเห็ดหลังฝน เรียกได้ว่าทุกเดือนต้องมีร้านใหม่ให้ลอง และต้องไปให้ไวก่อนจะหลุดจาก เทรนด์ไวรัล ที่วนอยู่ในโลกของโซเชียลมีเดีย

          ย่านนี้เคยเป็นศูนย์รวมของวัฒนธรรมไวรัลบนโซเชียล ร้านที่ดังใน TikTok มักจะแชร์ตำแหน่งว่า “อยู่แถวBan Tad Thong” ทำให้เกิดภาพจำว่า ที่นี่คือย่านวัยรุ่น ย่านของคนชอบลองของใหม่ และย่านที่ต้องรีบไปก่อนตกเทรนด์ ในปีที่ Ban Tad Thong กลายเป็นจุดหมายปลายทางประจำของสายกินและครีเอเตอร์ คอนเทนต์จากร้านในย่านนี้ถูกแชร์ต่ออย่างรวดเร็วบนทุกแพลตฟอร์ม ตั้งแต่ TikTok Instagram ไปจนถึง Twitter ด้วยบรรยากาศครึกครื้นและร้านเปิดใหม่แทบทุกสัปดาห์ บรรทัดทองจึงเปรียบเสมือน “เวทีเปิดตัว” ของร้านอาหารเจเนอเรชันใหม่ ที่ต้องการพิสูจน์ตัวเองผ่านพลังของโซเชียลมีเดีย แต่แล้ววันหนึ่งเรากลับพบว่า…ที่เคยแน่น กลับเริ่มว่าง ร้านที่เคยต้องรอคิวยาว กลับมีที่นั่งให้เลือกสบาย ๆ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบทันทีทันใด แต่ค่อย ๆ คืบคลานในลักษณะที่ทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถาม: “คนหายไปไหน?” หรือจริง ๆ แล้ว เทรนด์เปลี่ยนเร็วกว่าที่เราคิดไว้

จากฮิตติดเทรนด์สู่เงียบเหงา: ย่าน Ban Tad Thong อยู่ตรงไหนของใจคนรุ่นใหม่

          หากพิจารณาพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบัน โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ (Gen Z และ Millennials) จะพบว่าพวกเขามีความจงรักภักดีกับสถานที่ค่อนข้างต่ำ เทียบกับกลุ่มคนรุ่นก่อน ไม่ใช่เพราะไม่ชอบ แต่เพราะมี “ตัวเลือกใหม่ ๆ” เข้ามาทุกวันจากโซเชียลมีเดีย และความคาดหวังที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประสบการณ์ใหม่ การตกแต่งที่แปลกตา หรือความสามารถในการสร้างคอนเทนต์ที่ไม่ซ้ำใคร ซึ่งทั้งหมดนี้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้คนรุ่นใหม่เคลื่อนย้ายความสนใจไปยังย่านอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม

          Ban Tad Thong แม้จะเคยเป็นหนึ่งใน ย่านฮิต ที่สุดในกรุงเทพฯ แต่ถ้าไม่มีความแปลกใหม่เข้ามาเติมเป็นระยะ ย่อมตกขบวนไวรัลได้ง่ายมาก โดยเฉพาะเมื่อมีคู่แข่งจากย่านใหม่ ๆ เช่น อารีย์ ปากคลองตลาด เกษตรนวมินทร์ หรือแม้แต่ในต่างจังหวัดอย่างเชียงใหม่ ที่มีคาเฟ่เปิดใหม่ทุกสัปดาห์พร้อมโปรโมตบน TikTok และ IG Reel

          เทรนด์ของคนรุ่นใหม่ไม่ใช่แค่ตามเทรนด์อาหาร แต่ตามเทรนด์สถานที่ด้วย พวกเขาอยากไปที่ใหม่ ๆ ถ่ายมุมใหม่ ๆ แชร์คอนเทนต์ใหม่ ๆ ที่ยังไม่ซ้ำใคร การมีย่านที่ “พูดถึงซ้ำได้” ไม่พออีกต่อไป ต้องเป็นย่านที่ “สร้างประสบการณ์ใหม่ซ้ำได้เรื่อย ๆ” ทั้งในแง่ภาพลักษณ์ เมนู การตกแต่งร้าน หรือแม้กระทั่งอีเวนต์เฉพาะกิจ ถ้าย่านใดไม่สามารถผลิตวัตถุดิบใหม่สำหรับโซเชียลได้อย่างต่อเนื่อง ก็จะถูกแทนที่ในเวลาไม่นานด้วยย่านที่ “สดใหม่กว่า”

ถนนสายกินที่เริ่มเงียบ: เมื่อไวรัลไม่วนกลับมาซ้ำ

          ความท้าทายของ เทรนด์ไวรัล คือ “มันเปลี่ยนเร็ว” และ “ไม่ค่อยกลับมาที่เดิม” ร้านใน Ban Tad Thong จำนวนมากเคยดังจากคลิปไวรัลหรือรีวิวใน Facebook, TikTok และ IG แต่หากไม่มีการทำการตลาดซ้ำหรืออัปเดตประสบการณ์ใหม่ ๆ ร้านจะกลายเป็นเพียงอดีตที่คนพูดถึงในประโยคว่า “เคยไปมาแล้ว” เทรนด์ไวรัลที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ส่งผลให้ร้านอาหารหรือธุรกิจในย่านบรรทัดทองต้องมีการปรับตัวอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาความสนใจของลูกค้า เพราะการปล่อยให้ภาพลักษณ์หรือตัวสินค้าเหมือนเดิมเป็นเวลานาน จะทำให้กลายเป็นเรื่องเก่าและถูกมองข้ามในโลกออนไลน์ที่เต็มไปด้วยเนื้อหาใหม่ ๆ เสมอ นอกจากนี้ การแข่งขันที่สูงในกลุ่มร้านอาหารและคาเฟ่ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้แต่ละร้านต้องเร่งสร้างความแตกต่างและประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่จับใจลูกค้า เช่น การจัดกิจกรรมพิเศษ การเปลี่ยนเมนูตามฤดูกาล หรือการสร้างคอนเทนต์ที่มีความเฉพาะตัว เพื่อให้เกิดการแชร์และไวรัลซ้ำไปซ้ำมาอย่างต่อเนื่อง หากร้านใดหยุดนิ่งหรือขาดความคิดสร้างสรรค์ ก็จะถูกแทนที่ด้วยร้านใหม่ที่พร้อมตอบโจทย์เทรนด์ในปัจจุบันและสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านโซเชียลมีเดียได้ดีกว่า

          แม้บางร้านจะยังรักษาคุณภาพอาหารหรือบริการได้ดี แต่ในยุคที่ผู้คนเสพข้อมูลรวดเร็ว การไม่ทำอะไรเลยเท่ากับ “ค่อย ๆ หายไปจากสายตา” การตลาดยุคนี้ไม่ใช่แค่เปิดร้านดี แต่ต้องรู้วิธีสร้างไวรัลให้วนกลับมาอีกครั้ง เช่น การทำ Collaboration, เมนูใหม่ตามกระแส หรือโปรโมตผ่านอินฟลูเอนเซอร์รายย่อยอย่างต่อเนื่อง

         ร้านอาหารดังในญี่ปุ่นหรือเกาหลีหลายแห่งเข้าใจหลักการนี้ดี พวกเขามักวางแผนสร้างความแปลกใหม่ในทุกไตรมาส ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนธีมการตกแต่งร้านให้เข้ากับฤดูกาล การออกเมนูพิเศษที่ตรงกับกระแสในช่วงเวลานั้น หรือแม้แต่การจับมือกับแบรนด์ดัง ศิลปิน หรือแคมเปญโซเชียลเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับลูกค้า เช่น คาเฟ่ธีมอนิเมะที่เปลี่ยนตัวการ์ตูนทุกเดือน หรือร้านที่จัดกิจกรรมแบบ Pop-Up Workshop ที่เปิดให้ลูกค้ามีส่วนร่วม สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ร้านมีชีวิตชีวา และกลายเป็นจุดหมายที่ “ต้องกลับมาอีกครั้ง” แทนที่จะเป็นแค่ร้านที่เคยไป

Ban Tad Thong แผ่ว หรือเราแค่ย้ายไปเที่ยวที่อื่น?

          อีกมุมหนึ่งของปรากฏการณ์นี้ อาจไม่ใช่เพราะ “Ban Tad Thong ไม่ดี” แต่เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคเริ่ม “อยากลองของใหม่” มากขึ้น จากผลสำรวจของ WGSN พบว่า คนรุ่นใหม่ชื่นชอบการเปลี่ยนบรรยากาศและหลีกหนีจากความซ้ำซาก โดยเฉพาะกลุ่มที่เสพคอนเทนต์ผ่าน TikTok พวกเขามองหาสถานที่ที่ “ยังไม่มีใครเคยไป” มากกว่าสถานที่ที่ “คนไปกันหมดแล้ว” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า การค้นหาความแปลกใหม่และการสร้างคอนเทนต์เฉพาะตัวกลายเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับพวกเขามากกว่าการแค่ตามกระแส นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มที่ผู้บริโภคกลุ่มนี้จะเลือกสนับสนุนร้านหรือสถานที่ที่มีเรื่องราวและเอกลักษณ์เฉพาะตัว ส่งผลให้ย่านที่ไม่สามารถปรับตัวหรือสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับลูกค้าได้ จะถูกละเลยและสูญเสียความนิยมไปในที่สุด อีกทั้งปัจจัยทางเศรษฐกิจ เช่น ค่าครองชีพและราคาสินค้าที่สูงขึ้น ก็มีส่วนทำให้กลุ่มลูกค้าหลัก เช่น นักศึกษา และคนทำงานรุ่นใหม่ มีการเปลี่ยนพฤติกรรมไปเลือกใช้บริการแบบที่ประหยัดมากขึ้น เช่น สั่งอาหารเดลิเวอรีหรือไปเยือนสถานที่ที่คุ้มค่ากว่า ทำให้ภาพรวมของบรรทัดทองดูเงียบลงอย่างเห็นได้ชัด

สรุป          

ย่าน Ban Tad Thong อาจไม่ได้เงียบเหงาเพราะไม่มีเสน่ห์ แต่เพราะโลกกำลังหมุนเร็วขึ้น เทรนด์ใหม่มาเร็วและไปไว ธุรกิจที่อยู่รอดไม่ใช่แค่รสชาติดี แต่ต้อง “อยู่ในสายตา” ตลอดเวลา สำหรับผู้ประกอบการในย่านบรรทัดทอง หรือย่านอื่น ๆ ที่เคยฮิตมาก่อน Foretoday พร้อมให้บริการวางแผนการตลาดดิจิทัล วิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค และสร้างคอนเทนต์ไวรัลให้ตรงจริตโซเชียลแพลตฟอร์ม ทั้งในรูปแบบภาพ เสียง วิดีโอ และกิจกรรม Interactive เพื่อกระตุ้นการกลับมาอีกครั้งของลูกค้าเก่า และการค้นพบของลูกค้าใหม่ เพราะในยุคที่ทุกอย่างแข่งขันกันด้วย “ความน่าสนใจ” คุณต้องเป็นมากกว่าแค่ร้านที่เคยดัง แต่ต้องเป็นร้านที่ “ยังอยู่ในใจคน” เสมอ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://foretoday.asia/