จาะกลยุทธ์ La Glace แบรนด์เครื่องสำอางไทยสุดปัง

เจาะกลยุทธ์ La Glace แบรนด์เครื่องสำอางไทยสุดปัง

La Glace กับจุดเริ่มต้นและภาพลักษณ์แบรนด์

          La Glace ไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นจากเทรนด์หรือกระแสชั่วคราวในวงการเครื่องสำอางไทย แต่เกิดขึ้นจากความตั้งใจของทีมผู้ก่อตั้งที่เห็นช่องว่างในตลาดเครื่องสำอางของประเทศไทย ซึ่งยังขาดแบรนด์ที่สามารถผสานระหว่างคุณภาพระดับสูง ภาพลักษณ์แบรนด์ที่มีสไตล์ และการเข้าถึงง่ายในกลุ่มคนรุ่นใหม่

         คำว่า La Glace ในภาษาฝรั่งเศสแปลว่า “น้ำแข็ง” หรือ “ความเย็น” ซึ่งสะท้อนถึงความใส สะอาด และเรียบหรู เป็นชื่อที่ตั้งใจให้สะท้อนบุคลิกของแบรนด์ที่มุ่งเน้นความทันสมัย ความนุ่มนวล และความสง่างามที่ไม่ต้องพยายามเกินไป ด้วยภาพลักษณ์แบรนด์ที่ออกแบบอย่างมีชั้นเชิง La Glace ใช้สีโทนขาว เทา ชมพูอ่อน เป็นสีหลักของบรรจุภัณฑ์และการสื่อสาร ทำให้ทุกองค์ประกอบของแบรนด์สะท้อนถึงความเรียบง่ายแบบมินิมัล แต่ยังแฝงความรู้สึกหรูหราและเชื่อถือได้

         สิ่งที่ La Glace แตกต่างจากแบรนด์เครื่องสำอางไทยอื่น ๆ คือความใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั้งในเรื่องของการออกแบบผลิตภัณฑ์ การเลือกชื่อสินค้า ไปจนถึงการสื่อสารเรื่องราวของแบรนด์ (Brand Storytelling) ที่ไม่เพียงแต่พูดถึงคุณสมบัติของสินค้า แต่ยังเชื่อมโยงเข้ากับอารมณ์ ความฝัน และความมั่นใจของผู้หญิงรุ่นใหม่ La Glace ไม่ได้ขายเครื่องสำอาง แต่ขาย “ประสบการณ์” และ “อัตลักษณ์” ที่ลูกค้ารู้สึกว่าเป็นตัวของตัวเองได้เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ ภาพลักษณ์ที่ปลอดภัย มีระดับ และไม่จำกัดเพศหรือสีผิว ทำให้แบรนด์สามารถขยายฐานลูกค้าไปได้อย่างกว้างขวาง

        นอกจากนี้ แบรนด์ยังแสดงจุดยืนด้านความรับผิดชอบต่อสังคม (Social Responsibility) และสิ่งแวดล้อมผ่านการใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ ไม่ทดลองกับสัตว์ (Cruelty-free) และให้ความสำคัญกับการรีไซเคิล ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนว่า La Glace เป็นแบรนด์ที่ทันสมัย เป็นมิตร และมีจุดยืนที่แข็งแรงต่อโลกและสังคม ในยุคที่คนรุ่นใหม่ไม่ได้เลือกซื้อแบรนด์แค่เพราะคุณภาพของผลิตภัณฑ์ แต่เลือกเพราะคุณค่าที่แบรนด์สื่อสาร La Glace จึงสามารถครองใจลูกค้าได้ เพราะเป็นทั้ง “แบรนด์เครื่องสำอางไทย” ที่ทันสมัย และเป็น “แบรนด์ที่เข้าใจผู้หญิงไทย” อย่างแท้จริง

กลยุทธ์การตลาดที่ดึงดูดใจกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่

          La Glace วางกลยุทธ์การตลาดอย่างแม่นยำโดยมี “คนรุ่นใหม่” เป็นเป้าหมายหลัก ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักศึกษา คนเริ่มทำงาน หรือครีเอเตอร์ในโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลสูงในยุคปัจจุบัน

  1. การทำการตลาดเชิงอารมณ์ (Emotional Branding)
              La Glace รู้ดีว่าคนรุ่นใหม่ไม่ได้ซื้อสินค้าเพียงเพราะ “ของดี” แต่เพราะ “รู้สึกดี” เวลาที่ได้ใช้สินค้า กลยุทธ์การตลาดของแบรนด์จึงเน้นไปที่การสร้างความรู้สึก เช่น
  • การสื่อสารข้อความที่กระตุ้นความมั่นใจ เช่น “ทุกวันคือรันเวย์ของคุณ”
  • การใช้วิดีโอ Storytelling สั้น ๆ เล่าชีวิตของผู้หญิงธรรมดาที่กลายเป็นเวอร์ชันที่ดีที่สุดของตัวเองด้วย La Glace
  1. คอนเทนต์ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมคนยุคใหม่
              La Glace ใช้ Social Media อย่างเป็นระบบ ทั้ง Instagram, TikTok, YouTube และ LINE OA โดยมีการวางแผนคอนเทนต์ตามแนวคิด “สื่อสารน้อยแต่ลึก” เช่น
  • สอนการแต่งหน้าแบบ Real Life ไม่ใช่แบบโฆษณา
  • แชร์ How-To ที่ตอบโจทย์ชีวิตคนเมือง เช่น “แต่งหน้าใน BTS ให้เสร็จใน 10 นาที”
  • ใช้คอนเทนต์แบบ Interactive เช่น โพล หรือ Q&A ใน IG Story เพื่อให้ลูกค้ามีส่วนร่วม
  1. การใช้ Influencer Marketing อย่างมีกลยุทธ์
              La Glace ไม่ใช้เงินมหาศาลจ้างดารา แต่เลือก Influencer ที่มีภาพลักษณ์และตัวตนตรงกับแบรนด์ โดยเน้น 3 ประเภทหลัก:
  • Micro-influencer ที่มีผู้ติดตามหลักพันถึงหลักหมื่น แต่มีอัตรา Engagement สูง
  • Beauty Guru ที่เชี่ยวชาญด้านการรีวิวและมีความน่าเชื่อถือในกลุ่มเป้าหมาย
  • Lifestyle Creator ที่เน้นความเรียล ใช้จริงในชีวิตประจำวัน

สิ่งนี้ทำให้ La Glace ดู “เข้าถึงได้” และ “จริงใจ” มากกว่าแบรนด์ที่เน้นแต่ภาพโฆษณาหรูหรา

  1. การตลาดแบบ “ฟังลูกค้า” ไม่ใช่แค่พูดกับลูกค้า
              La Glace เปิดรับฟังเสียงจากลูกค้าผ่านทุกช่องทาง ทั้งคอมเมนต์ รีวิว ฟีดแบคหลังซื้อ และนำข้อมูลนั้นไปปรับปรุงจริง เช่น
  • มีเวอร์ชันใหม่ของผลิตภัณฑ์หลังจากมีเสียงเรียกร้อง
  • ปรับขนาดบรรจุภัณฑ์ให้เล็กลงตามคำแนะนำของกลุ่มนักเรียน-นักศึกษา
  • เปิดระบบ Pre-order สำหรับสินค้าใหม่ เพื่อวัดความต้องการและลดของเสีย
  1. การสร้างชุมชนรอบแบรนด์ (Brand Community)
    นอกจากขายสินค้า La Glace ยังสร้างพื้นที่ให้ลูกค้ารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ เช่น
  • จัด Live Chat กับทีม R&D พูดถึงเบื้องหลังการคิดสูตร
  • จัด Workshop ฟรีสำหรับผู้ที่ซื้อผลิตภัณฑ์ครบตามจำนวน
  • สร้าง Facebook Group สำหรับผู้ใช้จริงในการแชร์เทคนิคหรือปัญหาผิว

          การทำตลาดเชิงมนุษย์ (Human-centered marketing) แบบนี้ ทำให้ La Glace ไม่ใช่เพียงแบรนด์เครื่องสำอาง แต่เป็น “เพื่อนร่วมทางความสวย” ของผู้หญิงในยุคใหม่อย่างแท้จริง

การใช้โซเชียลมีเดียและอินฟลูเอนเซอร์อย่างชาญฉลาด

          ในยุคที่ผู้บริโภคเชื่อคำแนะนำจาก “คนที่คล้ายตัวเอง” มากกว่าคำโฆษณาจากแบรนด์ การตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย (Social Media Marketing) และอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer Marketing) จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์การสื่อสารแบรนด์ ซึ่ง La Glace ก็ใช้ช่องทางนี้อย่างชาญฉลาดและสร้างสรรค์

          La Glace เริ่มต้นจากการสร้างเพจ Instagram ที่สะท้อนตัวตนของแบรนด์ด้วยภาพลักษณ์มินิมัล โทนอบอุ่น และคอนเทนต์ที่มีความจริงใจ ไม่โฆษณาเกินจริง โพสต์ในเพจไม่ได้พูดถึงแต่คุณสมบัติของสินค้า แต่สื่อสารผ่านเรื่องราว ความรู้สึก และชีวิตประจำวันของผู้หญิงยุคใหม่ เช่น “วันจันทร์ที่ไม่มีเวลานอนก็ยังดูสดได้ แค่ใช้…” หรือ “5 นาทีแต่งหน้าก่อนประชุมออนไลน์ ก็ทำให้รู้สึกพร้อมมากขึ้น”

          กลยุทธ์ที่ทำให้ La Glace แตกต่างคือการไม่ “ยัดเยียดสินค้า” แต่ “เชิญชวนให้ทดลอง” ผ่านวิธีเล่าเรื่อง (Storytelling) ที่เน้นอารมณ์ ความฝัน และความมั่นใจของลูกค้า นอกจากนี้ แบรนด์ยังใช้แพลตฟอร์มที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย เช่น:

  • Instagram สำหรับการเล่าเรื่องผ่านภาพสวยและ IG Story
  • TikTok สำหรับวิดีโอ How-to สั้น ๆ ที่สนุกและกระตุ้นยอดขาย
  • YouTube สำหรับคอนเทนต์เจาะลึก เช่น รีวิวสูตรผลิตภัณฑ์หรือเบื้องหลังการผลิต
  • LINE OA สำหรับการกระตุ้นโปรโมชั่นเฉพาะกลุ่มแบบ One-on-One

          ในด้านอินฟลูเอนเซอร์ La Glace ไม่ได้เลือกคนที่ “ดังที่สุด” แต่เลือกคนที่ “จริงที่สุด” โดยเน้นคาแรกเตอร์ 3 แบบที่เสริมภาพลักษณ์แบรนด์ ได้แก่

  • “Everyday Beauty” ผู้หญิงธรรมดาที่มีแนวคิดเรื่องการรักตัวเอง
  • “Ingredient Geek” ผู้รีวิวที่สนใจเรื่องส่วนผสมและผิวแพ้ง่าย
  • “Real-Life Creator” ผู้สร้างคอนเทนต์แบบเรียล ไม่พึ่งแสงหรือฟิลเตอร์เยอะ

          สิ่งที่ทำให้กลยุทธ์นี้ได้ผลคือ การที่ผู้ติดตามของอินฟลูเอนเซอร์เหล่านี้ “เชื่อ” ในสิ่งที่เขาพูด และมีแนวโน้มจะทดลองตามโดยไม่รู้สึกว่าถูกขายของ

          นอกจากนี้ La Glace ยังเปิดโอกาสให้ “ลูกค้าจริง” ได้กลายเป็น Brand Voice ผ่านแคมเปญ “My La Glace Moment” ที่ชวนผู้ใช้รีวิวประสบการณ์ของตนเอง พร้อมติดแฮชแท็กเพื่อสะสมแต้ม แลกผลิตภัณฑ์ หรือได้ร่วมแคมเปญถ่ายภาพกับแบรนด์ เมื่อโซเชียลมีเดียไม่ใช่แค่พื้นที่โฆษณา แต่เป็นพื้นที่สร้างความสัมพันธ์ La Glace จึงกลายเป็นแบรนด์ที่ไม่ได้ “พูดกับ” ลูกค้า แต่ “พูดคุย” กับลูกค้าอย่างเข้าใจและต่อเนื่อง

นวัตกรรมและคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่สร้างความแตกต่าง

          ท่ามกลางแบรนด์เครื่องสำอางมากมายในตลาด ความสามารถในการสร้าง “ความแตกต่าง” (Differentiation) คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ La Glace ก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์ที่น่าจับตามอง นวัตกรรมและคุณภาพของผลิตภัณฑ์จึงเป็นหัวใจหลักที่แบรนด์ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง

          La Glace ไม่เน้นการออกผลิตภัณฑ์เร็วหรือบ่อย แต่ให้ความสำคัญกับ “คุณภาพที่จับต้องได้” และ “ผลลัพธ์ที่พิสูจน์ได้” โดยแต่ละสูตรของผลิตภัณฑ์เกิดจากการร่วมมือระหว่างนักวิจัยด้านเวชสำอางจากไทยและเกาหลีใต้ ผ่านการทดสอบกับผู้ใช้งานจริงหลายรอบก่อนจะวางขายในตลาด

          หนึ่งในตัวอย่างของนวัตกรรมที่โดดเด่นคือ “Skin Cloud Foundation” ซึ่งเป็นรองพื้นที่ให้ฟินิชแบบผิวจริง แต่ปกปิดและบางเบา ตอบโจทย์คนผิวแพ้ง่าย เพราะไม่มีน้ำหอม ไม่มีแอลกอฮอล์ และไม่มีสารที่ก่อให้เกิดการอุดตันผิว แบรนด์ยังเน้น “สูตรปราศจากสาร 10 ชนิด” ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของเครื่องสำอางไทยที่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก La Glace ยังให้ความสำคัญกับ “เนื้อสัมผัส” และ “ประสบการณ์การใช้งาน” เช่น

  • ลิปสติกที่มีเนื้อสัมผัสนุ่มลื่น ทาแล้วไม่แห้ง
  • คุชชั่นที่เกลี่ยง่าย แต่คุมมันได้ตลอดวันโดยไม่ต้องเติม
  • คลีนซิ่งที่ไม่มีฟองมาก แต่ทำความสะอาดลึกโดยไม่แห้งตึง

          นอกจากส่วนผสมและประสิทธิภาพแล้ว La Glace ยังนำนวัตกรรมในด้านบรรจุภัณฑ์มาใช้ เช่น ฝาแม่เหล็ก ปั๊มแบบสุญญากาศ (airless pump) ที่ช่วยถนอมเนื้อผลิตภัณฑ์ให้ใช้ได้นานและคงคุณภาพ อีกจุดเด่นคือ การใช้เทคโนโลยี AR ผ่านเว็บไซต์ที่ให้ลูกค้าทดลอง “ลองสี” ของผลิตภัณฑ์แบบเสมือนจริงผ่านกล้องมือถือ ก่อนตัดสินใจซื้อจริง ลดการคืนสินค้า และเพิ่มความมั่นใจให้ผู้ซื้อออนไลน์ สิ่งที่ชัดเจนคือ La Glace ไม่ได้แข่งด้วยราคา แต่แข่งด้วย “ความคุ้มค่าต่อการใช้จริง” และ “ความสบายใจ” ของลูกค้า ซึ่งกลายเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำและแนะนำต่อ

สรุป              

La Glace เป็นตัวอย่างของแบรนด์เครื่องสำอางไทยที่ประสบความสำเร็จจากการใช้กลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมกับยุคสมัย รู้จักสร้างภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่ง ใช้โซเชียลมีเดียและอินฟลูเอนเซอร์อย่างชาญฉลาด รวมถึงเน้นนวัตกรรมและคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์จริง ถ้าคุณกำลังมองหาวิธีเพิ่มศักยภาพทางการตลาดออนไลน์หรือพัฒนากลยุทธ์ดิจิทัลสำหรับแบรนด์ของคุณ Foretoday พร้อมให้บริการด้วยความเชี่ยวชาญด้านการตลาดดิจิทัล การสร้างแบรนด์ และการบริหารโซเชียลมีเดีย ที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://foretoday.asia/