จากคาเฟ่สู่คอสเมติก: เมื่อมัทฉะไม่ใช่แค่เครื่องดื่มอีกต่อไป
ถ้าจะพูดถึงเทรนด์ที่โดดเด่นที่สุดในปี 2025 คงไม่มีอะไรแรงไปกว่ากระแส “Matcha Fever” ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วจากคาเฟ่สู่ห้างสรรพสินค้า ร้านเครื่องสำอาง ไปจนถึงคลินิกเสริมความงาม มัทฉะกลายเป็นวัตถุดิบทองคำแห่งยุค ที่ไม่เพียงให้กลิ่นหอมและรสชาติที่ลึกซึ้ง แต่ยังมอบคุณค่าทางสุขภาพและสุนทรียะที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตของผู้บริโภคยุคใหม่ ด้วยคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระสูงจากสารคาเทชิน มัทฉะถูกยกระดับจากชาเขียวธรรมดามาเป็นซูเปอร์ฟู้ด (Superfood) ที่ช่วยชะลอวัย ลดการอักเสบ เสริมภูมิคุ้มกัน บำรุงสมอง และลดความเครียด จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นแบรนด์ดังอย่าง Starbucks เปิดตัว Matcha Latte ผสมคอลลาเจนเพื่อบำรุงผิว หรือ Estee Lauder ที่พัฒนาเซรั่มเข้มข้นจากมัทฉะเพื่อฟื้นฟูผิวลึกถึงชั้นใน พร้อมกับเสริมความเชื่อมโยงทางอารมณ์ผ่านแนวคิด Natural Wellness แม้แต่ในโลกของแฟชั่นและดีไซน์ สีเขียวมัทฉะกำลังกลายเป็นสีเทรนด์แห่งปีที่สะท้อนถึงความสงบ สง่างาม และความยั่งยืน หลายแบรนด์นำโทนสีนี้มาใช้ในคอลเลกชันเสื้อผ้า เครื่องประดับ หรือดีไซน์บรรจุภัณฑ์ เพื่อเสริมภาพลักษณ์พรีเมียมแต่เข้าถึงได้ ส่งผลให้มัทฉะกลายเป็นมากกว่าสินค้า—แต่เป็นวัฒนธรรมที่ทุกแบรนด์อยากเชื่อมโยง
มัทฉะกับ Soft Power ญี่ปุ่น: เทรนด์ที่ครองใจคนทั่วโลก
ความสำเร็จของมัทฉะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์ของ Soft Power ญี่ปุ่นที่แทรกซึมในวัฒนธรรมโลกอย่างแนบเนียน ญี่ปุ่นไม่เพียงส่งออกชาเขียวแบบดั้งเดิม แต่ได้พัฒนาให้มัทฉะเป็นสัญลักษณ์ของความสงบงามทางวัฒนธรรม การมีสุขภาพดี และความพิถีพิถันในการใช้ชีวิตในทุกมิติ นอกจากนี้ มัทฉะยังถูกนำเสนอผ่านสื่อต่าง ๆ อย่างสร้างสรรค์ ทั้งในภาพยนตร์ เพลง และแฟชั่น ทำให้เกิดการรับรู้และยอมรับในวงกว้างอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ แต่ยังกลายเป็นตัวแทนของไลฟ์สไตล์ที่ใส่ใจทั้งร่างกายและจิตใจ พร้อมส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ทันสมัยและเชื่อมโยงผู้คนทั่วโลกเข้าด้วยกันผ่านวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว
รัฐบาลญี่ปุ่นเดินหน้าโครงการ “Matcha for the World” ที่สนับสนุนเกษตรกรและ SME ในท้องถิ่นให้ยกระดับมาตรฐานการผลิตมัทฉะ ทั้งด้านรสชาติ ความปลอดภัย และความยั่งยืน โดยมีการจับมือกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง Ladurée, Pierre Hermé รวมถึงแบรนด์เครื่องสำอาง เช่น Shiseido, Tatcha เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ข้ามหมวดหมู่ (Cross-category Innovation) ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ ในด้านการท่องเที่ยว มัทฉะกลายเป็นหัวใจของแคมเปญเชิงวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็น Tea Retreats, เวิร์กชอปชงชา, หรือเซอร์วิสด้าน Wellness ที่รวมมัทฉะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ ญี่ปุ่นจึงไม่เพียงแค่ส่งออกผลิตภัณฑ์ แต่กำลังส่งออกมุมมองและรูปแบบการใช้ชีวิตแบบ Zen ให้คนทั้งโลกได้ลิ้มลอง
ชาเขียวสายเฮลธ์ตี้–สายพรีเมียม: แบรนด์ไทยลุยตลาดยังไงให้ปัง
ตลาดมัทฉะในประเทศไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทั้งในเชิงพฤติกรรมผู้บริโภคและโอกาสทางธุรกิจ กลุ่มผู้บริโภคแบ่งออกได้เป็นหลายเซ็กเมนต์ ไม่ว่าจะเป็นคนทำงานรุ่นใหม่ที่เลือกเครื่องดื่มสุขภาพระหว่างเร่งรีบ นักเรียนที่ต้องการสมาธิระหว่างอ่านหนังสือ หรือสายบิวตี้ที่ต้องการเสริมความเปล่งปลั่งจากภายใน
แบรนด์ไทยไม่พลาดโอกาสสำคัญนี้ Kyo Roll En พัฒนาเมนู Soft Cream รสมัทฉะเกรดเซรามอนีผสมผสานกับสารสกัดธรรมชาติ ขณะที่ ChaTraMue ขยายตลาดด้วยชาเขียวพร้อมดื่มในหลากหลายสูตร เช่น สูตรไม่มีน้ำตาล สูตรผสมคอลลาเจน หรือสูตรผสมผลไม้ สตาร์ตอัปด้าน Functional Beverage บางรายพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรม เช่น Matcha Protein Bar, Cold Brew Matcha หรือแม้แต่ Matcha Sparkling Water ที่สร้างจุดขายผ่านเรื่องราวความยั่งยืน การใช้วัตถุดิบท้องถิ่น และการตลาดแบบ Hyperlocal เพื่อเจาะเข้าถึงผู้บริโภคที่ต้องการสินค้าที่มี “จิตวิญญาณ” ของไทยผสมผสานกับคุณภาพระดับโลก
จากไวรัลสู่วัฒนธรรมกินใหม่: ทำไมคนยุคใหม่อินมัทฉะแบบไม่มีแผ่ว
กระแสมัทฉะกลายเป็นไลฟ์สไตล์ที่หลอมรวมเข้ากับชีวิตประจำวันของคนรุ่นใหม่อย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะในยุค TikTok Economy ที่การรีวิวสินค้า การแชร์ประสบการณ์ และการ Unbox กลายเป็นวัฒนธรรมการบริโภคแบบใหม่ที่เข้มข้นและแพร่หลายอย่างรวดเร็ว คาเฟ่มัทฉะที่มีมุมถ่ายรูปสวย ๆ โดดเด่น และผลิตภัณฑ์มัทฉะที่มาพร้อมบรรจุภัณฑ์สุดครีเอทีฟ ไม่เพียงแค่ดึงดูดสายตาเท่านั้น แต่ยังสามารถกลายเป็นไวรัลได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงผ่านการแชร์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ สร้างความนิยมอย่างกว้างขวางและยั่งยืนในกลุ่มผู้บริโภคยุคดิจิทัล นอกจากนี้ เทรนด์มัทฉะยังส่งผลต่อการออกแบบประสบการณ์ลูกค้าในร้านค้าและออนไลน์ เพื่อให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ต้องการความรวดเร็วแต่ยังคงความสร้างสรรค์และความเป็นเอกลักษณ์ในแต่ละแบรนด์อีกด้วย
Gen Z และ Millennials มีแนวโน้มเลือกซื้อสินค้าเพราะ “สามารถแชร์ได้” และสะท้อนตัวตนของตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นสูตรมัทฉะ Low Sugar สำหรับสายสุขภาพ สูตร Matcha + Collagen สำหรับสายบิวตี้ หรือแม้แต่ Matcha with Mood Enhancer สำหรับคนที่มองหาสิ่งที่มากกว่าเครื่องดื่ม นั่นคือประสบการณ์ที่สื่อสารความเป็นตัวเองได้ AI และระบบ Data Analytics ยังเข้ามามีบทบาทอย่างมากในการวิเคราะห์แนวโน้มจากโซเชียล เพื่อพัฒนาสินค้าตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคแบบเรียลไทม์ และปรับแคมเปญให้ตรงกับ micro-moment ของผู้ใช้ในแต่ละช่องทาง ทำให้มัทฉะไม่ใช่แค่ตามกระแส แต่เป็นวัฒนธรรมที่ฝังรากในชีวิตสมัยใหม่
สรุป
Matcha Fever ไม่ได้เป็นเพียงเทรนด์เครื่องดื่ม แต่คือ Movement ระดับโลกที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคในศตวรรษที่ 21 ทั้งในด้านสุขภาพ ความงาม วัฒนธรรม และการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ ธุรกิจที่สามารถเล่าเรื่องมัทฉะได้อย่างสร้างสรรค์ มีโอกาสเติบโตได้อย่างมั่นคง
Foretoday พร้อมเป็นพาร์ตเนอร์ที่เข้าใจทั้งข้อมูล อินไซต์ และกลยุทธ์ด้านแบรนด์ในโลกแห่งมัทฉะ ด้วยบริการวางแผนกลยุทธ์จาก Data, การใช้เทคโนโลยี AI วิเคราะห์เทรนด์เชิงลึก, การสร้างแคมเปญ Influencer แบบ Targeted ไปจนถึงการออกแบบ Customer Journey เพื่อสร้างแบรนด์มัทฉะที่อยู่ในใจผู้บริโภคตลอดเส้นทางการตัดสินใจ
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://foretoday.asia/