ทำงานที่ไหนก็ได้ แต่ไม่ได้เหมาะกับทุกคน
Workcation หรือแนวคิดที่ผสานการทำงานเข้ากับการเดินทางท่องเที่ยว กลายเป็นเทรนด์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงหลังการระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะเมื่อแนวคิด Remote Work และการทำงานแบบยืดหยุ่นได้รับการยอมรับในวงกว้าง ทั้งจากองค์กรและพนักงาน อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาล่วงเลยไปและการใช้ชีวิตแบบผสมผสานกลายเป็นความเคยชิน ความคาดหวังในแง่ประสิทธิภาพและความยั่งยืนของ Workcation ก็ถูกตั้งคำถามมากขึ้น ผู้คนเริ่มรู้สึกว่า การทำงานในคาเฟ่ริมทะเลหรือรีสอร์ทหรู อาจไม่ได้ช่วยให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีกว่าเสมอไป อาจเป็นเพียงภาพลักษณ์สวยหรูที่เผยแพร่บน Instagram มากกว่าจะเป็นรูปแบบการทำงานที่ตอบโจทย์ในระยะยาว
Table of Contents
Toggleจากการสำรวจของ Buffer ปี 2024 พบว่าแม้ 63% ของคนทำงานระยะไกลยังคงต้องการทำงานนอกสถานที่หรือออกจากบ้าน เช่น พื้นที่ธรรมชาติ คาเฟ่ หรือพื้นที่โคเวิร์กกิ้งต่าง ๆ แต่ในทางตรงกันข้าม ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นว่าจำนวนผู้ที่เลือกทำงานในสถานที่สาธารณะอย่างคาเฟ่กลับลดลงถึง 28% เมื่อเทียบกับปี 2023 การลดลงนี้อาจสะท้อนถึงปัจจัยหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความวุ่นวายของสภาพแวดล้อม เสียงรบกวน ความไม่มั่นคงของอินเทอร์เน็ต หรือค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นอุปสรรคต่อประสิทธิภาพการทำงาน (ที่มา: https://buffer.com/state-of-remote-work-2024)
จากคาเฟ่สู่โคเวิร์ก แต่ทำไมยังรู้สึกไม่โฟกัส
แม้โคเวิร์กสเปซจะให้บรรยากาศที่ดูมืออาชีพกว่า แต่หลายคนยังพบว่าไม่สามารถโฟกัสกับงานได้อย่างเต็มที่ เพราะโครงสร้างของพื้นที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อทุกประเภทของงาน ความวุ่นวายจากผู้อื่น เสียงโทรศัพท์ หรือการสนทนาในพื้นที่ใกล้เคียง ล้วนเป็นสิ่งที่รบกวนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผู้ใช้บริการบางรายอาจต้องเผชิญกับปัญหาการจองโต๊ะที่ไม่แน่นอน หรือไม่มีห้องประชุมว่างในเวลาที่จำเป็น ในขณะที่อุปกรณ์พื้นฐาน เช่น ปลั๊กไฟ โต๊ะที่รองรับการทำงานนาน ๆ หรือแสงสว่างที่เหมาะสม ก็ไม่สามารถรองรับความต้องการได้ทั้งหมด ความไม่เสถียรของอินเทอร์เน็ตและการต้องแชร์สัญญาณกับผู้ใช้งานจำนวนมาก ก็ทำให้การประชุมออนไลน์หรือการส่งข้อมูลไฟล์ใหญ่กลายเป็นความเครียดโดยไม่รู้ตัว
นอกจากนี้ การเดินทางไปยังโคเวิร์กสเปซซึ่งอาจอยู่ห่างจากที่พัก ยังเพิ่มภาระและใช้เวลาในชีวิตประจำวันมากขึ้น ขณะที่บางคนรู้สึกกดดันกับบรรยากาศที่ต้องรักษาภาพลักษณ์มืออาชีพอยู่ตลอดเวลาในพื้นที่เปิด บางแห่งยังมีข้อ จำกัดเรื่องเวลาเปิด-ปิด ทำให้ต้องปรับตัวกับตารางเวลาของสถานที่มากกว่าความยืดหยุ่นของตัวเอง
ทั้งหมดนี้นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงในมุมมอง คนทำงานจำนวนไม่น้อยเริ่มหันกลับมาประเมินว่า สิ่งที่ตนต้องการจริง ๆ อาจไม่ใช่แค่การเปลี่ยนสถานที่ทำงาน แต่คือการควบคุมสภาพแวดล้อมเพื่อให้ทำงานได้ดีที่สุด ดังนั้น บ้านที่ปรับเป็นโฮมออฟฟิศ ออฟฟิศแบบส่วนตัว หรือแม้แต่คาเฟ่ที่เงียบและมีพื้นที่เฉพาะตัว กลับตอบโจทย์มากกว่าในระยะยาว เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่เพียงช่วยเรื่องประสิทธิภาพการทำงาน แต่ยังส่งผลดีต่อสุขภาพจิตในภาพรวม
Work-Life Balance หรือ Work-Life Blur กันแน่?
แม้แนวคิด Workcation จะถูกมองว่าเป็นวิธีการสร้าง Work-Life Balance ที่ดี โดยการผสมผสานระหว่างการทำงานและการพักผ่อนในสถานที่ใหม่ ๆ เช่น รีสอร์ท หรือคาเฟ่ริมทะเล แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนเริ่มตระหนักว่าการทำงานในขณะท่องเที่ยวจริง ๆ แล้วมีความท้าทายและผลกระทบในด้านสุขภาพจิตที่ไม่ควรมองข้าม
- เส้นแบ่งเวลางานกับเวลาส่วนตัวที่เบลอ
การทำงานท่ามกลางบรรยากาศท่องเที่ยว อาจทำให้เส้นแบ่งระหว่างเวลางานและเวลาส่วนตัวเลือนรางลงอย่างมาก สมองไม่สามารถแยก “เวลาทำงาน” กับ “เวลาพักผ่อน” ได้ชัดเจน ส่งผลให้ผู้คนรู้สึกว่า “ต้องทำงานตลอดเวลา” แม้ในช่วงเวลาที่ควรจะพักผ่อนหรืออยู่กับครอบครัวก็ตาม
- ความเสี่ยงของภาวะ Burnout และความเครียดสะสม
การที่ไม่มีเวลาพักผ่อนอย่างแท้จริงและขาดการพักผ่อนทางจิตใจ ส่งผลให้เกิดภาวะ Burnout ซึ่งเป็นภาวะความเหนื่อยล้าทางอารมณ์และร่างกายสะสมเรื้อรัง ส่งผลเสียทั้งในด้านประสิทธิภาพการทำงานและสุขภาพจิต เช่น ความวิตกกังวล ซึมเศร้า หรือความรู้สึกหมดไฟในชีวิตการทำงาน
- การให้ความสำคัญกับ Mental Health ที่เพิ่มขึ้น
ยุคนี้ คนทำงานยุคใหม่ตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพจิตกันมากขึ้น พวกเขาเริ่มมองว่า Work-Life Balance ที่ดีนั้นไม่ใช่แค่การเปลี่ยนสถานที่ทำงานไปเรื่อย ๆ แต่เป็นการตั้งขอบเขตที่ชัดเจน ระหว่างเวลางานและเวลาส่วนตัว การแยกเวลาพักผ่อนที่แท้จริงช่วยให้สมองได้รีเซ็ตและฟื้นฟูพลังงาน
- การตั้งขอบเขตและวินัยตนเอง
เพื่อป้องกันภาวะ Burnout หลายคนจึงเริ่มตั้งกฎให้กับตัวเอง เช่น การกำหนดเวลางานที่ชัดเจน ไม่เช็คอีเมลหรือข้อความงานนอกเวลางาน รวมถึงการเลือกสถานที่ทำงานที่เหมาะสม มีบรรยากาศเอื้อต่อการทำงานและการพักผ่อนอย่างชัดเจน ซึ่งทำให้การ Workcation กลายเป็นการพักผ่อนจริง ๆ มากกว่าการ “พกงานไปเที่ยว”
- เทรนด์ Intentional Disconnection
หนึ่งในเทรนด์ที่กำลังมาแรงคือการ “ตัดขาดจากงานอย่างมีเจตนา” หรือ Intentional Disconnection คือการเลือกแยกเวลาชัดเจนสำหรับพักผ่อนโดยไม่เกี่ยวข้องกับงานเลย เช่น การเลือก Staycation ที่บ้านที่จัดสรรพื้นที่พักผ่อนโดยเฉพาะ หรือการเดินทางท่องเที่ยวที่ไม่เอางานไปผสมผสานเพื่อรีชาร์จพลังงานอย่างเต็มที่
Workcation ไม่ได้หายไป แค่อยู่ในรูปแบบที่เปลี่ยนไป
แทนที่จะทำงานไปเที่ยวไป คนรุ่นใหม่กลับเลือก Staycation ในบ้านที่ตกแต่งใหม่ให้เหมาะกับการพักผ่อนและทำงานอย่างสมดุล หรือบางคนเลือกเดินทางท่องเที่ยวอย่างจริงจังในช่วงเวลาที่ตัดสินใจลาหยุดและไม่ต้องทำงานเลยอย่างเต็มที่ เทรนด์นี้ถูกเรียกว่า “Intentional Disconnection” หรือการเลือกตัดขาดจากงานอย่างมีสติและตั้งใจ เพื่อรีชาร์จพลังอย่างแท้จริงและกลับมาพร้อมความสดชื่นทั้งกายและใจ
แนวคิดนี้สะท้อนถึงความเข้าใจในความสำคัญของการให้เวลากับตัวเองและสุขภาพจิต ซึ่งเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญมากขึ้นในยุคที่เส้นแบ่งระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวเริ่มเลือนราง นอกจากนี้ การตั้งขอบเขตในการแยกเวลางานและเวลาส่วนตัวอย่างชัดเจนนี้ ยังช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะ Burnout และส่งเสริมให้การทำงานมีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์มากขึ้นอีกด้วย การเลือกใช้เวลาในการพักผ่อนแบบตั้งใจอย่างมีคุณภาพ (Quality Rest) มากกว่าการผสมผสานงานกับการพักผ่อน จะช่วยให้สมองและร่างกายได้ฟื้นฟูเต็มที่ ทั้งยังช่วยให้การกลับมาทำงานนั้นมีความกระปรี้กระเปร่า มีแรงจูงใจ และความคิดสร้างสรรค์สูงกว่าการทำงานแบบ Workcation ที่ไม่มีการแยกแยะเวลาชัดเจน อีกทั้ง เทรนด์ Intentional Disconnection ยังสอดคล้องกับความต้องการในยุคดิจิทัลที่ทุกคนมักจะเชื่อมต่อกับงานผ่านมือถือหรือโน้ตบุ๊กตลอดเวลา การเลือกตั้งเวลาและพื้นที่สำหรับ “ตัดขาด” จากเทคโนโลยีและงานจะช่วยให้เกิดการพักผ่อนอย่างแท้จริง และลดความเครียดสะสมที่อาจเกิดจากการทำงานที่ไม่มีขอบเขต
สรุป
เทรนด์ Workcation ในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่หลายคนเคยชอบทำงานท่ามกลางบรรยากาศคาเฟ่หรือออฟฟิศ แต่ปัจจุบันคนรุ่นใหม่เริ่มให้ความสำคัญกับการแยกเวลางานและเวลาพักผ่อนอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันภาวะ Burnout และรักษาสุขภาพจิตที่ดี ส่งผลให้เทรนด์การทำงานผสมผสานกับการพักผ่อนในรูปแบบ Intentional Disconnection กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเป็นการตั้งใจตัดขาดจากงานในช่วงเวลาพักผ่อนอย่างแท้จริง หรือเลือก Staycation ที่บ้านอย่างมีคุณภาพ Foretoday ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงนี้และพร้อมสนับสนุนแบรนด์ต่าง ๆ ในการเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ ผ่านการวิเคราะห์อินไซต์ที่ลึกซึ้งของกลุ่มคนทำงานยุคใหม่ และการออกแบบกลยุทธ์การตลาดที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แบบยืดหยุ่น
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://foretoday.asia/