ปัจจุบันนี้ โทรศัพท์ถือว่าเป็นอวัยวะหนึ่งของทุกคนไปแล้ว ไม่ว่าจะทำกิจกรรมใดๆในชีวิตประจำวันก็มักจะต้องใช้โทรศัพท์อยู่ตลอดเวลา แต่ก็ยังคนมีคนบางกลุ่มที่ชอบชีวิตแบบที่ไม่มีเสียงรบกวนหรือสิ่งเร้าจากโทรศัพท์ ซึ่งเราจะมาพูดถึงกลุ่มคนที่ เรียกว่า FOMO และ JOMO และพฤติกรรมเหล่านี้ยังมีผลต่อการวางแผนการตลาดอีกด้วยจะเป็นยังไง ดูกันได้เลยค่า….
FOMO คือ?
FOMO มาจากคำว่า “Fear of Missing Out” หมายถึง อาการกลัวที่จะตกกระแส กลัวพลาดข่าวสารที่กำลังเป็นประเด็นสำคัญในสื่อโซเชียล โดยปกติคนที่มีอาการ FOMO จะติดโทรศัพท์มือถือเพราะต้องคอยเช็คข่าวสารตลอดเวลา และชอบอัปเดตชีวิตตัวเองผ่านโซเชียลมีเดียอยู่เสมอ
FOMO อาการเป็นไงไหนเล่าาา
1.โทรศัพท์คืออวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกาย ติดตามข่าวมีสาระ บันเทิง หรือดราม่าครบจบในที่เดียวอยู่ตลอด ทำให้โทรศัพท์อยู่ติดตัวคู่กายคู่ใจเสมอ
2.อัพเดตชีวิตผ่านช่องทางต่างๆ หรือถ้าเอาให้เห็นภาพก็คือ อัพสตอรี่ไอจีจนเป็นจุดไข่ปลาเลยทีเดียว ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนทำอะไร ไปเที่ยว กินข้าว ดูหนัง อัพเดตสถานะหัวใจ ทุกคนสามารถรู้ได้โดยไม่ต้องสืบเลย
ทำการตลาดกับชาว FOMO ยังไงได้บ้าง ?
Concept ก็คือ รวดเร็ว ทันกระแส และต้องให้มีส่วนร่วม
ความรวดเร็ว – พฤติกรรมของกลุ่มนี้ชอบเสพข่าวสารที่รวดเร็ว การทำโปรโมชั่นสินค้าที่มีระยะเวลาจำกัด ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้รีบกดซื้อโดยอาจจะไม่ทันได้คิดด้วยซ้ำ เพราะความกลัวที่จะพลาดโปรโมชั่นนี้ไป เช่นซื้อภายใน 1 ชั่วโมง หรือตอนนี้เท่านั้น
Real time marketing – พฤติกรรมของกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับการตลาดที่ตามเทรนด์เป็นอย่างมาก ดังนั้นการทำการตลาดที่มีการปรับตามเทรนด์ใหม่ๆมีแนวโน้มทำให้กลุ่มคนเหล่านี้แชร์คอนเทนต์และส่งต่อกันอย่างรวดเร็ว
JOMO คือ?
JOMO มาจากคำว่า “Joy of Missing Out” หมายถึง การมีความสุขโดยที่ไม่ต้องใช้ชีวิตเกาะติดกระแสสังคม โดยปกติคนที่มีอาการ JOMO จะไม่ค่อยเล่นโซเชียลมีเดีย แต่ใช้เวลาไปกับกิจกรรมรอบตัว เช่น การออกไปเที่ยว อ่านหนังสือ ปลูกต้นไม้ เป็นต้น
พฤติกรรมของกลุ่ม JOMO อาการมันเป็นยังไงนะ
- เพลิดเพลินกับการใช้ชีวิตแบบไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับโทรศัพท์หรือใช้สมาร์ทโฟน เช่น โฟกัสกับการอ่านหนังสือ การปลูกต้นไม้ การออกกำลังกายเป็นต้น ซึ่งก็ทำให้บางทีอาจจะโฟกัสกับกิจกรรมต่างๆ จึงทำให้การตอบแชทหรือตอบข้อความช้า มากไปกว่านั้นกลุ่มคนเหล่านี้ก็ไม่ได้รู้สึกกลัวที่จะตามข่าวหรือเทรนด์ใหม่ๆที่เกิดขึ้นไม่ทันด้วย
ทำการตลาดกับชาว JOMO ยังไงได้บ้าง ?
Native ads – การทำคอนเทนต์ที่เน้นให้ความรู้แต่มีการ Tie-in ถึงแบรนด์สินค้านั้นๆไปแบบแนบเนียน เช่น วิธีการยิงโฆษณา facebook,google ให้ปังๆยังไง และมีการแนบชื่อบริษัท Foretodayให้ติดต่อปรึกษาได้ในบทส่งท้ายเป็นต้น
Podcast – ชาว JOMO ชอบที่จะทำกิจกรรมภายนอกที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับโทรศัพท์ก็จริง แต่การฟัง Podcast นั้นเป็นการเปิดฟังโดยที่ยังสามารถทำกิจกรรมอื่นๆไปด้วยไม่ได้โฟกัสที่แค่โทรศัพท์ ดังนั้นสื่อช่องทางนี้ก็ยังเป็นช่องทางที่เข้าถึงชาว JOMOได้เช่นกัน
สรุป
FOMO และ JOMO ก็เป็นรูปแบบพฤติกรรมหนึ่งของคนในยุคสมัยนี้ ซึ่งก็เป็นพฤติกรรมที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน และการเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าก็อาจจะทำให้มองเห็นภาพลูกค้าของเราได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้การวางแผนการตลาดหรือคอนเทนต์ที่จะนำส่งไปหากลุ่มลูกค้าของเราได้ตรงกลุ่มและเหมาะสมมากขึ้น
“วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า จะได้มาต้องเริ่มที่วันนี้”
“A better tomorrow starts today”
FB Chat: http://m.me/foretoday
“A better tomorrow starts today “
Digital Agency Digital Marketing digitalagency foretoday marketing
อ้างอิง
https://www.fillgoods.co/online-biz/shop-orders-know-consumer-jomo-fomo-marketing-segment/