ทุกวันนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการโฆษณาด้วย SEM (Search Engine Marketing) ผ่านทาง Google มีความสำคัญเป็นอย่างมากเพราะไม่ว่าใครๆหากต้องการหาของหรือข้อมูลก็ต้องเข้า Google แล้ว Search กันอยู่แล้ว ทำให้หลายๆธุรกิจต้องโฆษณาเกี่ยวกับสินค้าและบริการของตัวเองด้วย SEM (Search Engine Marketing) เพื่อให้ขายสินค้าและแข่งขันในตลาดออนไลน์ได้
ดังนั้นก่อนที่เราจะ Audit แอคเคาน์ Google Search Ads หรือ SEM เรามี 5 คำถามสั้นๆง่ายๆ สำหรับคนที่จะ audit ที่ควรจะต้องรู้หลังจาก Audit เสร็จ
1. Account structure ปัจจุบันสอดคล้องกับ business goal รึเปล่า
Account structure เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดอย่างนึง แอคเค้าท์ที่มี structure ที่แย่จะทำให้เราสิ้นเปลืองค่าโฆษณาโดยใช่เหตุได้ อย่างเช่น budget ที่เรามี มันเพียงพอปริมาณเเคมเปญหรือ ad group ที่มีในปัจจุบันรึเปล่า ถ้าเกิดว่าเราจัด structure โดยไม่สนใจว่า budget ที่เรามี ไม่สัมพันธ์กับ structure ก็จะทำให้ประสิทธิภาพของแคมเปญแต่ละตัว ไม่ดีเท่าที่ควร คำถามที่เราควรรู้ก่อนจะ audit structure เช่น product หรือ service ไหนของธุรกิจที่เค้าให้ความสำคัญมากที่สุด หรือ อยากให้ลองเน้นมากที่สุด หรือ มีกลุ่ม market ไหนที่ value โดดเด่นเป็นพิเศษมั้ย หรือว่าเท่าๆกัน
คำถามเหล่านี้จะช่วยให้เราวิเคราะห์ได้ว่า structure ที่มีในปัจจุบัน ดีพอแล้วรึยังหรือมีจุดบกพร่องที่เราสามารถปรับปรุงได้อีก
2. เช็ค Conversion tracking ด้วย
Conversion Tracking เป็นอีกส่วนที่สำคัญที่กำหนด performance ของ campaign ได้เช่นเดียวกัน ถ้าเราตั้งค่าที่ไม่เหมาะสม
ตัวอย่างแรกที่เราสามารถเช็คได้อย่างรวดเร็วเลยคือ การตั้งค่า primary secondary conversion actions.
สิ่งนี้จะเป็นตัวกำหนดว่า business นี้ให้ความสำคัญกับ conversion ไหนเป็นหลัก โดยสำหรับ primary conversion action จะถูกนำมา optimize เป็น signal ให้การส่งไปหากลุ่มเป้าหมาย และจะเก็บ conversion ที่เกิดขึ้นเพื่อมารายงานเรา แตกต่างจาก secondary conversion action ที่จะไม่ส่งผลอะไรต่อการ optimize แต่แค่จะถูก note เก็บไว้เฉยๆ
หรือการนับซ้ำสำหรับบาง conversion ก็จะทำให้ข้อมูลเฟ้อเกินความเป็นจริงได้ เช่น contact conversion
3. ข้อความ คีย์เวิร์ด และ Ad ที่แสดง เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายแล้วรึยัง?
นอกจากจะเข้าใจโครงสร้างของ SEM (Search Engine Marketing) อย่างท่องแท้หรือการตั้ง Bid ไว้สูงให้มากมายเพียงใด แต่หากคุณตั้งข้อความและเลือกคีย์เวิร์ดมาไม่ตรงก็บ้งได้เหมือนกัน โดยปกติแล้วคุณควรจะแยกแต่ละ Ad Group ต่อ Main point ที่เกี่ยวกับสินค้าคุณ เช่น หากคุณขายครีมช่วยผิวกระจ่างใส คุณควรตั้งให้ Ad group 1 สำหรับคนที่กำลังมองหาครีมโดยตรงโดยอาจจะมีคำว่า ครีมผิวกระจ่างใส ครีมผิวใสมีออร่า ครีมผิวขาว เป็นต้น ส่วน Ad group 2 สำหรับคนที่มีปัญหาผิวโดยอาจเลือกคำเหล่านี้เช่น ลดผิวหมองคล้ำ ลดจุดด่างดำ เป็นต้น ลองคิดดูว่าหากคุณรวม 2 Ad group นี้เป็นโฆษณาเดียวกันโดยไม่แยกให้ชัดเจน คุณก็จะไม่รู้ความต้องการหรือ Insight ของลูกค้า แถมยังทำให้ประสิทธิภาพของโฆษณาลดลง ยิ่งกับ responsive search ads (RSAs) แล้วยิ่งไปกันใหญ่
ทิป :
responsive search ads (RSAs) ควรใช้ข้อความที่ดึงดูดเป็น Headline one (H1) และมี Calls-to-action (CTA) หรือคำที่ล่อตาล่อใจให้อยากกดเช่น โทรมาตอนนี้รับส่วนลดทันที เป็น Headline two (H2)
4. กำลังเสียเงินโดยไม่ได้ตั้งใจรึเปล่า?
แพลตฟอร์มโฆษณาต่างๆถูกสร้างมาเพื่อช่วยให้แบรนด์หรือผู้โฆษณาใช้เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย ไม่ใช่ทำมาเพื่อให้เสียเงินไปเล่นๆไม่ได้ประโยชน์อะไร
Setting บางอย่างก็เปิดใช้งานง่ายมากๆ แต่คุณอาจไม่ได้สังเกตและพลาดที่จะใช้มันอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณเสียเงินไปโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน
หนึ่งใน Setting ที่ควรตั้งคือ Location คุณควรกำหนด Location ในการยิง Ad โดยอาจเป็นการกำหนดเป้าหมายคนใน Location ที่กำหนด + คนที่มีความสนใจใน Location ที่กำหนด หรือ เฉพาะคนใน Location ที่กำหนดเท่านั้นก็สามารถทำได้ หากคุณไม่ได้กำหนด Location และเลือกตั้งแบบ Default อาจทำให้เสียค่าใช้จ่ายในพื้นที่ๆเราไม่อยากยิง Ad ไปทำให้เสียเงินไปเปล่าๆ
หรือหลายครั้งคุณอาจจะเพิ่ม Keyword มากมายเข้าไป คุณควรตรวจสอบให้ชัวร์ว่าคำที่คุณเพิ่มถูกเพิ่มไปใน Ad Group ที่ถูกต้องและไม่ใช่ Keyword ที่ซ้ำกัน ไม่อย่างนั้นนอกจะลดประสิทธิภาพของ Ad ยังทำให้เสียเงินไปฟรีๆอีกด้วย
5. Scaling หรือ Optimizing?
หลายๆครั้งในการทำ Audit คนมักจะโฟกัสไปในเรื่องของการ optimizing อย่างเดียว แล้วมักจะมองข้ามเรื่อง Scaling ไป
Impression share คือสิ่งที่ช่วยให้เรารู้ได้ว่าตอนนี้ account เราอยู่ในจุดไหน จุดที่ต้องการการ optimize หรือการ scale up กันแน่ ดูได้คร่าวๆจาก Impression Share ถ้าต่ำจาก rank หมายความว่า ยังมีปัญหาเรื่องของ structure บางอย่างที่ขัดขวางโอกาส ทำให้เราสูญเสีย Revenue ไป ทั้งที่จริงๆแล้วสามารถทำให้ดีกว่านี้ได้
Lost budget บ่งบอกถึง potential ที่เราสามารถ scale up เพิ่มได้อีก
CTR ก็ช่วยบ่งบอกได้เหมือนกัน ถ้าเกิดว่าต่ำมากเกินไป หมายความว่า asset หรือ creative ที่เราใช้อยู่ควรที่จะได้รับการปรับปรุงแก้ไข หรืออาจจะเป็นเรื่องของ Targeting ที่ยังไม่ตรงกลุ่มมากพอ
หากสนใจอ่านบทความอื่น ๆ ของเราได้ที่ https://foretoday.asia/articles/
สนใจติดต่อการทำการตลาดออนไลน์ได้ที่
Line@: bit.ly/ForeToday
FB Chat: http://m.me/foretoday
“A better tomorrow starts today “
#Digitalmarketing #Foretoday #Digitalagency #WFH #Workfromhome
#digitalagency content Digital Marketing foretoday marketing News