หลายๆคนอาจเคยได้ยินคำว่า BURNOUT SYNDROME หรือ ภาวะหมดไฟในการทำงาน ที่เกิดจากความเครียดสะสม เบื่อหน่ายกับงานที่ทำ รู้สึกเหน็ดเหนื่อย หมดแรงจูงใจ ไม่อยากจะแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอีกต่อไป หาความสุขหรือความสนุกจากการทำงานไม่ได้ ความรู้สึกเหล่านี้จัดอยู่ในกลุ่มอาการที่ไม่รุนแรงเท่ากับโรคซึมเศร้า แต่หากปล่อยให้ตัวเอง BURNOUT เป็นระยะเวลานาน อาจนำไปสู่การเกิดโรคซึมเศร้าจากการทำงานซึ่งจะส่งผลกระทบที่รุนแรงกว่าได้
โรคซึมเศร้า กับความเครียดในที่ทำงาน
การทำงานนับเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของความเครียด กาทำงานอาจทำให้รู้สึกกดดัน ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตจนนำไปสู่ โรคซึมเศร้าได้ ไม่ว่าจะเป็นการเครียดจากงานที่ได้รับมอบหมาย การสื่อสารที่ผิดพลาดในองค์กร ความขัดแย้งระหว่างในที่ทำงานซึ่งปัญหาเหล่านี้ล้วนส่งผลให้รู้สึกหงุดหงิด รำคาญใจ และอาจกระทบต่อการทำงานได้
สาเหตุของโรคซึมเศร้าจากการทำงาน
ปัจจัยและเหตุการณ์ต่อไปนี้ อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคซึมเศร้าในที่ทำงานได้
- การที่ทำงานไม่ตรงกับความรู้ความสามารถที่มี ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดโรคเครียดและความกดดันได้ เช่น มีความสามารถหรือเรียนจบด้านศิลปะแต่ต้องทำงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้ตัวเลข เป็นต้น
- ทำงานหลายชั่วโมงติดต่อกันโดยไม่ได้หยุดพักเพื่อทำกิจกรรมผ่อนคลายอื่น ๆ ไม่สามารถสมดุลเวลาทำงานกับการผ่อนคลายได้
- มีความไม่สบายใจที่ต้องติดต่อประสานงานกับเพื่อนร่วมงานหรือบุคคลที่ไม่เป็นมิตร หรือบุคคลที่มีทัศนคติ ลักษณะนิสัย และการทำงานที่แตกต่างกัน
สัญญาณเตือนที่บ่งบอกถึงโรคซึมเศร้าจากการทำงาน
อาการที่อาจเป็นสัญญาณของโรคซึมเศร้าจากการทำงาน ได้แก่
- ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง
- ทักษะการแก้ไขปัญหาลดลง
- ทำงานแบบผัดวันประกันพรุ่ง
- ยอมแพ้ต่อชีวิต ไม่ต่อสู้ดิ้นรน ไม่พยายามเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ให้ดีขึ้น
- เก็บตัว ไม่เข้าสังคม
- เชื่องช้าลง
- รู้สึกผิดหวัง สะเทือนใจง่าย
- ไม่มีความภูมิใจหรือเห็นคุณค่าในตัวเองต่ำ
เราจะดูแลสุขภาพกายใจให้พ้นจากโรคซึมเศร้าได้อย่างไร
ข้อปฏิบัติ ต่อไปนี้ อาจช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจและร่างกายจากปัญหาโรคซึมเศร้าจากการทำงานได้
- ออกกำลังกาย การออกกำลังกาย จะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารเอนดอร์ฟิน (Endorphins) ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้ที่มีอาการซึมเศร้าในระยะยาว
- นอนหลับในระยะเวลาที่เหมาะสมเป็นประจำ การนอนเป็นเวลาช่วยลดอาการนอนไม่หลับได้
- ฝึกเป็นคนคิดบวก พยายามคิดในแง่ดีเมื่อรู้สึกแย่กับตนเอง ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นว่าตนไม่ดีจริงหรือ หรือมีข้อผิดพลาดตรงไหนที่แก้ไขได้ การฝึกเป็นคนคิดบวกอาจต้องใช้เวลา แต่จะช่วยขจัดความคิดในแง่ลบหรือการมองโลกในแง่ร้ายออกไปได้ในที่สุด
- กำหนดเป้าหมาย สร้างกิจวัตรประจำวัน ผู้ที่อยู่ในโรคซึมเศร้ามักรู้สึกท้อแท้กับชีวิตอาจทำให้การทำงานหรือ ทำกิจกรรมต่างๆแย่ลง ดังนั้น การกำหนดเป้าหมายเชิงบวกในแต่ละวันจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเมื่อทำตามเป้าหมายจนสำเร็จลุล่วง
- ทำอะไรใหม่ ๆ หลายคนมักจะรู้สึกหดหู่และอ่อนไหวง่ายเมื่ออยู่ในโรคซึมเศร้า จึงควรออกไปหากิจกรรมใหม่ ๆ เพื่อเปิดหูเปิดตา เช่น ไปเยี่ยมชมสถานที่ใหม่ ๆ หรือเรียนรู้ภาษาใหม่ ๆ หรือทักษะใหม่ๆ เพื่อดึงความสนใจจากอารมณ์ด้านลบไม่ให้รู้สึกแย่ลง
- พบปะผู้คน สร้างปฏิสัมพันธ์ การทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกับเพื่อนยังช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายจากความเครียดได้ และการได้รับกำลังใจที่ดีจากเพื่อนร่วมงาน และครอบครัวทำให้รู้สึกผ่อนตลายจากงานและสบายใจขึ้นด้วย
- ช่วยเหลือผู้อื่น การเป็นอาสาสมัครหรือทำกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือสังคม หรือการให้ความช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆ เช่น เอื้อเฟื้อต่อคนพิการ หรือช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน สามารถช่วยให้เห็นคุณค่าในตนเองจากการช่วยเหลือผู้อื่น
- ยอมรับในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ สถานการณ์หรือเหตุการณ์บางอย่างอาจเป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก ดังนั้น ควรทำความเข้าใจและยอมรับ โดยจดจ่ออยู่กับสิ่งที่สามารถแก้ไขได้แทน
เมื่อไรควรไปพบแพทย์ ?
ภาวะหมดไฟในการทำงานจัดอยู่ในกลุ่มอาการ ไม่รุนแรง เพียงแต่เป็นอาการเบื่องาน หมดแรงจูงใจ แต่ถ้าคุณหรือเพื่อนร่วมงานของคุณมีอาการเหล่านี้ เช่น รู้สึกอึดอัด หดหู่ เบื่อหน่ายสิ่งรอบตัว รู้สึกทุกข์ทรมานกับการใช้ชีวิต วิตกกังวล สิ้นหวัง รู้สึกว่าตนเองไร้ค่า นอนไม่หลับ หมกหมุ่นเรื่องความล้มเหลวที่ผ่านมาแล้วโทษตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคุณเริ่มมีความคิดด้านลบรุนแรงขึ้น จนพบว่าตนเองคิดวางแผนฆ่าตัวตาย คิดอยากทำร้ายตนเองและผู้อื่น รวมถึงหาทางออกให้กับปัญหาไม่ได้ ควรรีบโทรศัพท์ไปยังสายด่วนสุขภาพจิตที่เบอร์ 1323 เพื่อปรึกษาปัญหาความผิดปกติทางอารมณ์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเข้าพบผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตและจิตแพทย์ทันที
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก https://bit.ly/3THVsy7
.
ใน EP หน้า เราจะเขียนบทความเรื่องอะไร รอติดตามได้เลย!
Line@: bit.ly/ForeToday
FB Chat: http://m.me/foretoday
“A better tomorrow starts today”